7.เอกสารบรรยาย

เทคนิคการเขียนบทความวิจัยเพือ่ การตีพมิ พ์
ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ
หัวข้ อบรรยำย
1. ทำไมต้ องตีพมิ พ์ผลงำนวิจยั
2. เส้ นทำงของ manuscript
(ตั้งแต่ ส่งออกจำกนักวิจยั จนถึงได้ รับตีพมิ พ์ )
3. กำรเขียน manuscript
(กำรเลือกวำรสำร/กำรเขียน manuscript)
ทำไมต้ องตีพมิ พ์ผลงำนวิจยั
กำรวิจัย
งำนวิจัยพืน้ ฐำน
งำนวิจัยประยุกต์
องค์ ควำมรู้ ใหม่
ทฤษฎีใหม่
สร้ ำงงำนเพือ่ มุ่งเน้ นสู่
กำรใช้ งำนจริง
เผยแพร่ ผลงำน
ใช้ งำนจริง
เผยแพร่
เพิม่ องค์ ควำมรู้แก่สำธำรณะ
เพิม่ องค์ ควำมรู้แก่สำธำรณะ
กำรตีพมิ พ์ผลงำนวิจยั
• เป็ นกำรเผยแพร่ องค์ ควำมรู้ แนวคิดต่ ำงๆ ทีค่ ้ นพบ สู่ สังคมโลก
• เกิดกำรพัฒนำควำมรู้ สร้ ำงกำรเปลีย่ นแปลงและกำรใช้ ประโยชน์ จำกผลงำนวิจัย
• เป็ นกระบวนกำรพัฒนำควำมรู้ พัฒนำนักวิจัย
กำรตีพมิ พ์ : เป็ นตัวชี้วดั (KPI) ผลสำเร็จในทุกระดับ
กติกาของสังคมวิจยั
•ผู้ทำวิจยั ทุกคน (รวมทั้งนักศึกษำบัณฑิต) จะต้ องตีพมิ พ์ผลงำนวิจยั
•นักศึกษำบัณฑิตทุกคนต้ องเรียนรู้ กำรตีพมิ พ์ผลงำนวิจยั
(กำรตีพมิ พ์คอื กำรเกณฑ์ สำเร็จกำรศึกษำ)
“Your publications may change the world”
Paul Berg
James Watson,
Francis Crick
DNA structure
Recombinant
DNA molecule
Fred Sanger
DNA sequencing
Kary Mullis
Polymerase chain reaction
Prof. Dr. Hannes Stockinger
Department of Molecular Immunology,
Medical University of Vienna,
Vienna, Austria
บัณฑิตระดับบัณฑิตศึกษา ต้ อง:
•มีความร้ ู “ร้ ูจริ งและร้ ูมาก”
ร้ ูลกึ ในศาสตร์ ของตน, ร้ ูกว้ างในศาสตร์ อื่นๆ, ร้ ูภาษาอังกฤษ
•ทาวิจัยเป็ น “ครบวงจร”
คิดโจทย์ วจิ ยั , เขียนโครงการวิจัย, นาเสนอ, เขียน manuscript
•Maturity
คณ
ุ ธรรม จริ ยธรรม, ตรงต่ อเวลา, สัมมาคารวะ, ร้ ูจกั กาลเทศะ,
อื่นๆ
กำรตีพมิ พ์ผลงำนวิจัย
เส้ นทางของ manuscript
นักวิจยั
ทาวิจัย
ผลงำนวิจยั
ต้ นฉบับ
Manuscript
ส่ งไปยังวำรสำรเพือ่ ตีพมิ พ์
ตีพมิ พ์เผยแพร่
วำรสำรทีม่ ีกำรประเมินก่อนกำรตีพมิ พ์ (Peer review journal)
วำรสำร
Manuscript
ปฏิเสธ
editorial office
บรรณำธิกำร
ผู้ประเมิน (Reviewers) 2-3 คน
Analysis-Evaluation
with comments
บรรณำธิกำร
ผู้วจิ ัย
-ตอบคำถำม/ปรับปรุง/แก้ไข
-ทำกำรทดลองเพิม่
Response to
reviewers’ comments
บรรณำธิกำร
บรรณำธิกำร
ปฏิเสธ
ปฏิเสธ/ตอบรับ
ตีพมิ พ์ผลงำนในวำรสำร
นักวิจยั
ทาวิจัย
ผลงำนวิจยั
ต้ นฉบับ
Manuscript
ส่ งไปยังวำรสำรเพือ่ ตีพมิ พ์
ตีพมิ พ์เผยแพร่
กำรเขียน manuscript เพือ่ ตีพมิ พ์ในวำรสำรนำนำชำติ
• กำรเลือกวำรสำรเพือ่ ตีพมิ พ์
• กำรเขียน manuscript เพือ่ ตีพมิ พ์เผยแพร่
Step I:
กำรเลือกวำรสำรเพือ่ ตีพมิ พ์
มีวำรสำรทำงวิทยำศำสตร์ เป็ นจำนวนมำก ทั้งระดับชำติและนำนำชำติ
Biomedical Science Journals
Science and Technology
> 10,000 journals
เลือกวำรสำรที่เหมำะสมกับเนือ้ หำที่จะตีพมิ พ์
- Scope หรือ Area
- Quality (คุณภำพ)
Scope หรือ Area
•แต่ ละวำรสำรมีวตั ถุประสงค์ และ scope ในกำรตีพมิ พ์แตกต่ ำงกัน
•ต้ องเลือกวำรสำรทีเ่ หมำะสมกับงำนทีจ่ ะตีพมิ พ์
วัตถุประสงค์ และ scope ของแต่ วำรสำร: ดูรำยละเอียดในวำรสำร
The JI publishes novel, peer-reviewed findings in all areas of
experimental immunology, including innate and adaptive immunity,
inflammation, host defense, clinical immunology, autoimmunity
and more.
The Journal of Immunological Methods is devoted to covering
techniques for: (1) Quantitating and detecting antibodies and/or
antigens. (2) Purifying immunoglobulins, lymphokines and other
molecules of the immune system. (3) Isolating antigens and other
substances important in immunological processes. (4) Labelling
antigens and antibodies. (5) Localizing antigens and/or antibodies
in tissues and cells. ………………….
คุณภำพของวำรสำร (Quality of the journal)
วำรสำรแต่ ละวำรสำรมีคุณภำพแตกต่ ำงกัน
แต่ ละวำรสำรมีค่ำดัชนี : Impact factor
ค่ ำ Impact factor เป็ นตัวบ่ งชี้คุณภำพของวำรสำร
Journal of Immunology
Journal Facts
Publisher: The Journal of Immunology (The JI) is owned and published
by The American Association of Immunologists, Inc.
Editor-in-Chief: Jeremy M. Boss, Ph.D. eic@aai.org
Editorial Board: The Journal of Immunology Editorial Board. All Editors
are practising scientists.
The Staff: The JI Staff Members
Impact factor: 5.745 (2010 Journal Citation Reports)
Citations: The JI is cited more than any other immunology journal (2010
Journal Citation Reports)
Journal of Biotechnology
Journal impact factor
A quantitative measure of the frequency with which the
"average article" published in a given scholarly journal has
been cited in a particular year or period.
It is calculated each year by the Institute for Scientific
Information
Impact factor
• บ่ งชี้คุณภำพของวำรสำร
• บ่ งชี้คุณภำพของเรื่องทีต่ พี มิ พ์
วำรสำรภำษำไทย
ค่ ำ Thai-Journal Impact Factor
www.kmutt.ac.th/jif/public_html/
Journal Impact Factor 2011 ของทุกวำรสำร มีอยู่ใน file Microsoft Excel
Rank
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
Abbreviated Journal Title
4OR-Q J OPER RES
AAOHN J
AAPG BULL
AAPS J
AAPS PHARMSCITECH
AATCC REV
ABDOM IMAGING
ABH MATH SEM HAMBURG
ABSTR APPL ANAL
ACAD EMERG MED
ACAD MED
ACAD PEDIATR
ACAD RADIOL
ACCOUNT RES
ACCOUNTS CHEM RES
ACCREDIT QUAL ASSUR
ACI MATER J
ACI STRUCT J
ACM COMPUT SURV
ACM J EMERG TECH COM
ACM SIGPLAN NOTICES
Total
Impact 5-Year Impactor
Cites
Factor
Factor
163
0.323
405
0.509
6068
1.831
2.38
2340
5.086
5.705
2314
1.432
1.925
190
0.139
0.317
2082
1.725
1.655
365
0.222
0.256
689
1.318
1.202
5400
1.861
2.474
7955
3.524
3.076
335
2.398
2.398
3481
1.692
1.937
135
0.618
39664
21.64
22.507
627
1.036
0.781
2345
0.803
1.283
2408
0.667
1.169
2295
4.529
9.169
65
0.414
767
0.09
0.126
กำรส่ ง manuscript เพือ่ ตีพมิ พ์
Researchers
Manuscript
submit
High impact factor journal
Rejection
Manuscript
Lower impact factor journal
Rejection
Manuscript
Lower impact factor journal
For all scientists: Rejection is normal
ภำยหลังขั้นตอนกำรเลือกวำรสำร: Area+ quality
คำแนะนำกำรเขียนสำหรับผู้นิพนธ์ “Author Guidelines”
- Type of articles
-Review
-Research (original article)
-Communication
-Short report
-etc.
- Style
แต่ ละวำรสำรมี style ที่แตกต่ ำงๆ กัน
- เอกสำรอ้ำงอิง (References)
แต่ ละวำรสำรมีวิธีกำรเขียนเอกสำรอ้ำงอิงทีแ่ ตกต่ ำงๆ กัน
เขียน manuscript ตำมรู ปแบบทีว่ ำรสำรกำหนด
Tip:
ระหว่ ำงกำรเขียนต้ นฉบับให้ copy paper ของวำรสำรนั้นๆ มำใช้ เป็ น template
Step I:
กำรเลือกวำรสำรทีเ่ หมำะสม
Step II:
กำรเขียน manuscript
Research (original article)
Getting start for writing a manuscript
Manuscript
ประเมินโดย
Editor/Reviewers
ผ้ ปู ระเมิน ดอู ะไร
ควำมน่ ำสนใจ ควำมสำคัญ
ควำมใหม่ ไม่ มีกำรรำยงำนมำก่ อน
ควำมถูกต้ อง น่ ำเชื่อถือ
กำรอ้ ำงอิงงำนที่มีมำก่ อน
Writing a manuscript
Pattern of scientific paper (original article)
•ชื่อเรื่อง Title
•บทคัดย่ อ Abstract
•บทนำ Introduction
•วิธีกำรทดลอง Materials and Methods
•ผลกำรทดลอง และวิจำรณ์ ผลกำรทดลอง Results and Discussion
(อำจจะแยกหรือรวมกัน)
•คำขอบคุณ Acknowledgements
•เอกสำรอ้ำงอิง References
•Authors' contributions
• Competing interests (Conflict of interest)
1. ชื่อเรื่อง Title
• ตั้งชื่อโดยเอำ “hi-light” ของผลงำนวิจยั มำตั้งเป็ นชื่อเรื่อง
• Informative and specific: อ่ำนแล้วรู้ว่ำเนือ้ เรื่องใน paper คืออะไร
• กระชับและน่ ำสนใจ
A Simple Manual Rosetting Method for Absolute CD4+ Lymphocyte
Counting.
A Simple Manual Rosetting Method for Absolute CD4+ Lymphocyte
Counting in Resource-Limited Countries.
ผลิต monoclonal antibody ต่ อ P-glycoprotein; พัฒนำ ELISA/Flow cytometry;
ตรวจหำ soluble และ surface P-glycoprotein in bone marrow
Soluble P-glycoprotein is present in the bone marrow
plasma of leukemia patients with the level related to Pglycoprotein surface expression
Production of monoclonal antibodies to P-glycoprotein:
Its application in detection of soluble and surface Pglycoprotein of leukemia patients
2. บทคัดย่ อ Abstract
เป็ นส่ วนที่สำคัญมำก
ปรำกฎในฐำนข้ อมูลต่ ำงๆ: pubmed, scopus
เขียนทีห่ ลังสุ ด
3. บทนำ Introduction
ก่ อนเขียนบทนำ ให้ ตอบคำถำมต่ อไปนี้
1. What is new and why is your work important?
2. Read and summarize all pertinent works in the field.
3. What is already known about the system/story that you are
investigating?
4. Think that “How is your research significantly different from
those described in the other paper?”
5. Indicate the advantage of your work that improve the
existing knowledge or technology in general.
From: Guidelines for writing a good scientific paper: Brochure distributed by TRF and CHE
บทนำ Introduction: Start writing
โดยทัว่ ไป บทนำ มี 2-3 paragraphs
Paragraph 1 หรือ 2:
•เขียนถึงงำนวิจัยที่เกีย่ วข้ องที่ตีพมิ พ์มำก่อน โดยต้ องทบทวนวรรณกรรมให้
ทั่วถึงครบถ้ วน อ้ำงอิง paper ทีน่ ำมำใส่ ให้ ถูกต้ อง
Paragraph 2 หรือ 3:
- นำเสนองำนของตนเอง ให้ ข้อมูลถึงเหตุผลทีต่ ้ องทำวิจัยเรื่องนี้
- พร้ อมสอดแทรกวัตถุประสงค์ ของกำรวิจัย
- ปิ ดท้ ำยด้ วยผลกำรศึกษำสั้ นๆ พร้ อมประโยชน์ และกำรประยุกค์ ใช้
ต้ องเขียนออกมำให้ ได้ ว่ำงำนวิจัยนี้น่ำสนใจ
4. วิธีกำรทดลอง Materials and Methods
เป็ นส่ วนทีเ่ ขียนง่ ำยทีส่ ุ ด
มือใหม่ ควรหัดเขียนส่ วนนีเ้ ป็ นลำดับแรก
วิธีกำรทดลอง:
-เพือ่ ให้ ผู้อ่ำนทรำบว่ ำผลกำรทดลองได้ มำอย่ ำงไร
-เพือ่ ให้ ผู้อนื่ ๆ สำมำรถทำกำรศึกษำตำมรำยงำนนีไ้ ด้
•ต้ องเขียนให้ ผู้อนื่ เข้ ำใจและมีรำยละเอียด (reagents-methods) พอสมควร
•แต่ ต้องเป็ นรำยละเอียดทีม่ ีสำระ และเป็ นประโยชน์
•ถ้ ำมีกำรดัดแปลงวิธีกำรจำกวิธีมำตรฐำน ต้ องแจงรำยละเอียดทีด่ ัดแปลง
For method section
• Always use past tense, especially in passive voice, because
you are describing the methods you have already done.
Note:
It is different between writing manuscript and research
proposal.
For research proposal or thesis proposal
- use future tense, because you describe what you are
going to do.
For manuscript
- use past tense, because you describe what you have
done.
5. ผลกำรทดลองและวิจำรณ์ Results and Discussion
• บำงวำรสำร กำหนดให้ เขียน ผลกำรทดลองและวิจำรณ์ ผลกำรทดลอง แยกกัน
• บำงวำรสำรให้ เขียนไปพร้ อมๆ กัน
• ต้ องศึกษำรูปแบบกำรเขียนก่อนเริ่มเขียน
ผลกำรทดลอง Results
• เป็ นกำรแสดงกำรค้ นพบจำกกำรศึกษำวิจยั
• เป็ นส่ วนหลักของ manuscript
Before start writing Result part
• สร้ ำงเรื่องรำวและลำดับกำรนำเสนอ
“Make your finding like a story of invention”
• ไม่ จำเป็ นต้ องเรียงลำดับผลกำรทดลองตำมลำดับกำรศึกษำวิจัย
• ให้ คดิ ว่ ำผู้อ่ำนเป็ นคนทีไ่ ม่ คุ้นเคยกับงำน หรือเทคนิคทีน่ ำเสนอ
Writing results
• ควรมี บทนำสั้ นๆ/วัตถุประสงค์ ของกำรศึกษำในแต่ ผลกำรทดลอง
• ควรมีสรุปผลกำรศึกษำสั้ นๆ ในแต่ ผลกำรทดลอง
• ใช้ รูปภำพ หรือ ตำรำง แสดงผลเพือ่ ง่ ำยต่ อกำรเข้ ำใจ
• หำกเป็ นกำรเปรียบเทียบ ต้ องแสดงค่ ำทำงสถิติ
• รูปและตำรำง ควรนำเสนอในรูปแบบทีส่ วยงำม เข้ ำใจง่ ำย
“แบบ eye-catching format”
• ทุกรูปและตำรำงจะต้ องมีกำรระบุในเนือ้ เรื่อง
• ทุกรูปจะต้ องมีคำอธิบำยรูป “figure legend”
•กำรเขียน figure legend ต้ องเขียนให้ สื่อควำมหมำยและนำไปสู่ กำรเข้ ำใจรูป
ได้ อย่ ำงดี เป็ นเรื่องทีต่ ้ องฝึ กฝนจำก paper อืน่ ๆ
ICAM-1 expression
Zeta globin chain (ug/ml)
60
50
40
30
20
10
0
1
2
3
Writing results
• ควรมี บทนำสั้ นๆ/วัตถุประสงค์ ของกำรศึกษำในแต่ ผลกำรทดลอง
• ควรมีสรุปผลกำรศึกษำสั้ นๆ ในแต่ ผลกำรทดลอง
• ใช้ รูปภำพ หรือ ตำรำง แสดงผลเพือ่ ง่ ำยต่ อกำรเข้ ำใจ
• หำกเป็ นกำรเปรียบเทียบ ต้ องแสดงค่ ำทำงสถิติ
• รูปและตำรำง ควรนำเสนอในรูปแบบทีส่ วยงำม เข้ ำใจง่ ำย
“แบบ eye-catching format”
• ทุกรูปและตำรำงจะต้ องมีกำรระบุในเนือ้ เรื่อง
• ทุกรูปจะต้ องมีคำอธิบำยรูป “figure legend”
•กำรเขียน figure legend ต้ องเขียนให้ สื่อควำมหมำยและนำไปสู่ กำรเข้ ำใจรูป
ได้ อย่ ำงดี เป็ นเรื่องทีต่ ้ องฝึ กฝนจำก paper อืน่ ๆ
อำจเลีย่ นแบบวิธีกำรนำเสนอรู ปและตำรำงจำก paper อืน่ ๆ
Tips
• Always use past tense in the result section, because you are
describing the done work.
• Example of some sentences:
- It was found that….
- These results indicate that or indicating….
- Figure 1 illustrates that…….
- As was shown in Table 1,…...
- In order to study……, we measured….
For Discussion
เป็ นส่ วนที่เขียนยำกมำก
• แปลผลกำรค้ นพบทีแ่ สดงใน “ผลกำรทดลอง”
• เปรียบเทียบกับทีม่ ีรำยงำนมำก่ อน ทั้งที่เหมือนและแตกต่ ำง
• นำเสนอถึงกำรค้ นพบใหม่ ทฤษฎีใหม่ และประโยชน์ รวมถึง
กำรประยุกต์ ใช้
ควรหลักเลีย่ ง
นำผลกำรทดลองมำเขียนซ้ำใน discussion
บทคัดย่ อ Abstract
เป็ นส่ วนที่สำคัญมำก ควรเขียนที่หลังสุ ด
Writing the abstract
ประกอบด้ วย 3 ส่ วน คือ
1. เริ่มต้ นด้ วยกำรกล่ำวสั้ นถึงทีม่ ำของกำรศึกษำวิจัย
2. ตำมด้ วยวัตถุประสงค์ ของกำรศึกษำวิจัย
3. วิธีกำรศึกษำวิจัยสั้ น (อำจมีหรือไม่ มี)
4. สรุปผลกำรศึกษำ
5. ปิ ดท้ ำยด้ วยประโยชน์ และกำรประยุกต์ ใช้
หมำยเหตุ: บำงวำรสำรกำหนดจำนวนคำในบทคัดย่ อ
แนะนำว่ ำ ให้ เขียนไปก่อนโดยไม่ ต้องคำนึงจำนวนคำ แล้วค่ อยมำตัดทิง้ ภำยหลัง
6. เอกสำรอ้ ำงอิง References
ทุก paper ในทุกวำรสำร จะต้ องปิ ดท้ ำยด้ วย “เอกสำรอ้ำงอิง”
- เอกสำรอ้ำงอิง (References)
- แต่ ละวำรสำรมีวธิ ีกำรเขียนเอกสำรอ้ำงอิงทีแ่ ตกต่ ำงๆ กัน
- ต้ องเขียนเอกสำรอ้ำงอิงตำมรูปแบบทีก่ ำหนด
- ใส่ เอกสำรอ้ำงอิงให้ ครบตำมทีป่ รำกฎในเนือ้ เรื่อง
แนะนำให้ ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
เพิม่ เติม:
• เนือ้ หำ และรู ปภำพ จะทำแยกเป็ น 2 ส่ วน
• Figure legends เขียนแยกจำก figure
• กำร submit manuscript ต้ องมี cover letter
After finish writing
ต้ องมีกำรอ่ำนทบทวนอย่ ำงดี หลำยๆ รอบ ก่อนส่ งไปตีพมิ พ์
สำหรับกำรตีพมิ พ์ในวำรสำรต่ ำงประเทศ
Always give the manuscript to native English speaker for language
correction.
Tips for writing publications
1. Short and concise is always better than long and vague.
2. Consider the tense used.
3. Start drafting the paper from the section that you feel most
comfortable and confident with.
4. Avoid repetition. (Results and Discussion)
(Discussion: Interpret your findings described in the result
part.)
6. Finally;
Check all information appearing in the paper at least three
times.
If you have co-authors, have them check it as well.
Beware: Any factual statement in the paper is the author’s
responsibility.
From: Guidelines for writing a good scientific paper: Brochure distributed by TRF and CHE
ปัญหำที่พบบ่ อยๆ
•
•
•
•
•
กำรใช้ ภำษำไม่ ถูกต้ อง อ่ำนไม่ รู้เรื่อง / Poor English usage
กำรทบทวนวรรณกรรมไม่ เพียงพอ
Poor manuscript preparation
ผลกำรศึกษำ ข้ อมูล ไม่ สมบูรณ์ กำรแปลผลไม่ ถูกต้ อง
สรุปผลกำรศึกษำไม่ ตรงตำมควำมจริง
• Author lists:
คณะผู้วจิ ยั และกำรเรียงลำดับ
- ชื่อแรก / corresponding
- % contribution
Publish a paper is not easy and take a lot of time.
But it can be trained.
Do it, practice it, then you can do it.