ฟงกชันหลายตัวแปร 311 (Functions of Several Variables) นิยาม 1 (ฟงกชันสองตัวแปร) ให D เปนเซตของคูอันดับของจํานวนจริง ฟงกชันสองตัวแปร คือ การจับคูหรือการสมนัย (correspondence) ที่มี กฎเกณฑวาสําหรับแตละคูอันดับที่อยูใน D จะสมนัยกับจํานวนจริง เพียงคาเดียว จํานวนจริงดังกลาวเขียนแทนดวย f ( x, y ) หรือ z = f ( x, y ) เรียกเซต D วา โดเมนของ f และเรียกจํานวนจริง f ( x, y ) ทั้งหมดที่ซึ่ง ( x, y ) อยูใน D วา เรนจของ f ตัวอยาง 1 ให f ( x, y ) = y x − y2 (ก) จงหาคาของ f (4, 0) , f (1, 2) และ f (1, 1/ 2) (ข) จงหาโดเมนและเรนจของ f วิธีทํา f (4, 0) = 0 f (1, 2) หาคาไมได 1 3 D f {( x, y ) ∈ \ × \ / x > y 2 } f (1, 1/ 2) = โดเมนของ f คือ และ เรนจของ f คือ R f = { f ( x, y) / f ( x, y ) ∈ \} เมื่อ \ แทนจํานวนจริง 312 ตัวอยาง 2 จงหาโดเมนและเรนจของฟงกชันสองตัวแปรตอไปนี้ ฟงกชัน โดเมน z= เรนจ y − x2 1 w= xy y ≥ x2 [0, ∞) xy ≠ 0 (−∞, 0) ∪ (0, ∞) z = sin xy x, y ∈ R [−1, 1] ในทํานองเดียวกัน ฟงกชันสามตัวแปร เขียนแทนดวย และโดเมนของ เปนจํานวนจริง w = f ( x, y , z ) f คือ เซตของคูลําดับ ( x, y, z ) ที่ทําให w มีคา ตัวอยาง 3 จงหาโดเมนและเรนจของฟงกชันสามตัวแปรตอไปนี้ ฟงกชัน โดเมน เรนจ w = x2 + y 2 + z 2 1 w= 2 x + y2 + z2 x, y , z ∈ R [0, ∞) ( x, y, z ) ≠ (0, 0, 0) (0, ∞) w = xy ln z x, y ∈ R และ z > 0 (−∞, ∞) 313 กราฟของฟงกชันสองตัวแปร (Graphs of Function of Two Variables) ให (x, y) แทนจุดในระนาบ xy และ z แทนความสูงที่อยูเหนือ หรือใตระนาบ xy แลวจะไดวา สมการ z = f(x, y) แทนพื้นผิว (surface) ในปริภูมิสามมิติ (three space) และเงาที่ทอดไปบน ระนาบ xy คือ โดเมนของ f(x, y) z z = f(x, y) (x ,y,f(x,y)) y P(a, b,(xf ,y) (a, c)) x รูปที่ 1 พื้นผิว z = f(x, y) ในปริภูมสิ ามมิติ ระบบพิกดั ฉากในสามมิติ ระบบพิกัดฉากในสามมิติหรือระบบพิกัด xyz ประกอบดวยระนาบ สามแผน ไดแก ระนาบ xy ระนาบ yz และ ระนาบ xz เรียกระนาบทั้ง สามวา ระนาบพิกดั ระนาบทั้งสามจะตัดกันในลักษณะที่ตั้งฉากซึ่งกัน และกัน รอยตัดของระนาบทั้งสามจะเปนเสนตรงสามเสนตั้งฉากซึ่งกัน และกัน เรียกวา แกนพิกัด นั่นคือ แกน x, แกน y และแกน z ตัดกันที่ 314 จุด O เรียกวาจุดกําเนิด ระนาบพิกัดนี้แบงปริภูมิสามมิติออกเปน 8 สวนและเรียกแตละสวนวา อัฐภาค (octant) ดังรูปที่ 2 z z y y x ระนาบ xz x ระนาบ yz z z y y x z ระนาบ xy x รูปที่ 2 ระบบพิกัดฉากตามกฏมือขวา (right-hand rule) จากรูปที่ 3 ถา P เปนจุดใดๆในปริภูมิสามมิติ ระยะหางจาก ระนาบ yz ถึงจุด P ซึ่งขนานกับแกน x เรียกวา พิกัดแรก (x coordinate) ของจุด P มีคาเปนบวก ในทํานองเดียวกัน ระยะหางจาก ระนาบ xz ถึงจุด P ซึ่งขนานกับแกน y เรียกวา พิกัดที่สอง (ycoordinate) และพิกัดที่สาม (z - coordinate) ระยะหางจากระนาบ xy ถึงจุด P ซึ่งขนานกับแกน z คือจํานวนที่ระนาบผานจุด P ตั้ง ฉากกับระนาบพิกัด พิกัดทั้งสามของจุด P เขียนแทนดวย (x1, y1, z1) 315 และจะเรียก (x1, y1, z1) วาพิกัดฉาก (rectangular coordinate) ของจุด P z z 3 2 1 -2 -1 0 1 2 1 -1 2 -2 -2 -1 x P(x1, y1, z1) 3 x1 x (a) y1 y 0 y (x1, y1, 0) (b) รูปที่ 3 ระบบพิกัดฉากตามกฏมือขวา (right-hand rule) (a) แสดงแกนพิกัดฉากในปริภูมิสามมิติ (b) พิกัดฉากของจุด P ในปริภูมิสามมิติ ตาราง 1 แสดงพิกัดของจุดบนแกนพิกัดฉากและระนาบพิกัดฉาก แกนพิกัด พิกัดของจุดบน ฉาก แกนพิกัดฉาก แกน x (a, 0, 0) แกน y (0, b, 0) แกน z (0, 0, c) ระนาบพิกัด พิกัดของจุดบน ฉาก ระนาบพิกัดฉาก ระนาบ xy (a, b, 0) ระนาบ xz (a, 0, c) ระนาบ yz (0, b, c) 316 จากตาราง 1 จะพบวา ระนาบ xy จะแทนดวยสมการ z = 0 ในทํานองเดียวกัน ระนาบ xz คือสมการ y = 0 และ ระนาบ yz คือ สมการ x = 0 พื้นผิวและการเขียนกราฟของพื้นผิวในสามมิติ พื้นผิวในสามมิติ คือทางเดินของจุดตางๆที่สอดคลองกับสมการ F(x, y, z) = 0 (1) หรือเขียนในรูป z = f (x, y), x = g(y, z) หรือ y = h(x, z) เชน z = 2 x + 3 y − 5 หรือ 2 x + 3 y − z = 5 เปนสมการของพืน้ ผิวระนาบ หรือ x 2 + z − 4 = 0 เปนสมการของพืน้ ผิวทรงกระบอกพาราโบลิก และ z = x 2 + y 2 หรือ x 2 + y 2 − z = 0 เปนสมการของพืน้ ผิวพาราโบลอยด เปนตน x2 + z = 4 (2) 317 การเขียนกราฟของพื้นผิวในสามมิติ ในทางปฎิบัติการเขียนกราฟของพื้นผิวคอนขางยุงยาก ในที่นี้จะ กลาวถึงเฉพาะการเขียนกราฟของพื้นผิวที่สามารถพิจารณาจากรอยตัด (trace) ของพื้นผิวบนระนาบพิกัดและระนาบที่ขนานกับระนาบพิกัด รอยตัดของพื้นผิว (Trace of Surface) รอยตัดของพื้นผิว คือ เสนโคงสองมิติที่เปนเกิดจากรอยตัด ของพื้นผิวกับระนาบพิกัดไดแก ระนาบ xy ระนาบ xz และระนาบ yz ในการหาสมการรอยตัดของพื้นผิวบนระนาบพิกัดจะพิจารณาดังนี้ สมการรอยตัดของพื้นผิวบนระนาบ xy คือ สมการที่ไดจากการ กําหนด z = 0 ในสมการพื้นผิว F(x, y, z) = 0 นั่นคือ F(x, y, 0) = 0 ในทํานองเดียวกันสมการรอยตัดของพื้นผิวบนระนาบ xz คือ F(x, 0, z) = 0 และสมการรอยตัดของพื้นผิวในระนาบ yz F(0, y, z) = 0 คือ สมการรอยตัดของพื้นผิวบนระนาบที่ขนานกับระนาบ xy ระนาบ yz ระนาบ xz คือ F(x, y, z0) = 0 F(x, y0, z) = 0 และ F(x0, y, z) = 0 ซึ่งไดจากการแทน x = a , y = c และ z = c ตามลําดับ เมื่อ a, b, c เปนคาคงตัว 318 ระนาบ (Plane) สมการระนาบในสามมิติคือสมการเชิงเสนที่เขียนในรูป ax + by + cz + d = 0 เมื่อ a, b, c เปนคาคงตัวที่ไมเปนศูนยพรอมกัน การเขียนกราฟของระนาบ เนื่องจากสมการระนาบ ax + by + cz + d = 0 คือสมการเชิง เสนของตัวแปร x, y และ z การเขียนกราฟของสมการระนาบ โดยทั่วไปจะพิจารณาหาจุดตัดบนแกน x โดยกําหนดให y = z = 0 หา จุดตัดบนแกน y โดยกําหนดให x = z = 0 และหาจุดตัดบนแกน z โดยกําหนดให x = y = 0 แลวลากเสนตรงผานจุดตัดทั้งสามจะได สวนของระนาบในสามมิติที่ตองการ ดังตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยาง 1 จงเขียนกราฟของสมการเชิงเสน 3x − 4 y + 2 z = 6 วิธีทํา จุดตัดบนแกน x แกน y และแกน z คือ (2,0, 0), (0,−3/2, 0), (0, 0, 3) ตามลําดับ เมื่อนําจุดพิกัดทั้งสามลงในระบบพิกัดฉากจะไดกราฟสวนของระนาบที่ กําหนดให ดังรูปที่ 4 z y x รูปที่ 4 319 ในกรณีเขียนกราฟของสมการระนาบที่มีตัวแปร 2 ตัว จะไดระนาบ ที่ขนานกับแกนพิกัดของตัวแปรที่ไมปรากฏในสมการระนาบเชน 2 x + 5 z = 10 เปนสมการระนาบที่ขนานกับแกน y ในปริภูมิสามมิติ ดังรูปที่ 5 z y x รูปที่ 5 สําหรับสมการระนาบที่มีตัวแปรเพียงตัวเดียวจะมีกราฟเปนระนาบที่ ขนานกับระนาบพิกัด ดังรูปที่ 6 z z z z=c c x=a y y y b a x y=b x x รูปที่ 6 ทรงกลม (Sphere) ทรงกลม คือ พื้นผิวซึ่งมีสมการในรูป ( x − a ) 2 + ( y − b) 2 + ( z − c ) 2 = r 2 เมื่อ a, b, c > 0 และ r แทนรัศมีของทรงกลม 320 ตัวอยาง 2 จงเขียนกราฟของสมการ x + y + z = 25 วิธีทํา ให z = 0 จะได สมการรอยตัดบนระนาบ xy คือ สมการวงกลม x 2 + y 2 = 25 ดังรูปที่ 7 (ก) ให x = 0 จะได สมการรอยตัดบนระนาบ yz คือ สมการวงกลม x 2 + z 2 = 25 ดังรูปที่ 7 (ข) ให y = 0 จะได สมการรอยตัดบนระนาบ xz คือ สมการวงกลม y 2 + z 2 = 25 ดังรูปที่ 7 (ค) ดังนั้น กราฟของสมการ x 2 + y 2 + z 2 = 25 คือ ทรงกลม ดัง รูปที่ 7 (ง) 2 (ก) 2 z (ข) z 2 y y (0,5,0) (5,0,0) x (ค) x (ง) z z (0,0,5) y x รูปที่ 7 y x (ก) รอยตัดบนระนาบ xy (ข) รอยตัดบนระนาบ yz (ค) รอยตัดบนระนาบ xz (ง) ทรงกลม 321 ทรงกระบอก (Cylinders) ทรงกระบอกเปนพื้นผิวในปริภูมิสามมิติซึ่งมีสมการเปนแบบใด แบบหนึ่งตอไปนี้ f ( x, y ) = 0 หรือ g ( x, z ) = 0 หรือ h( y, z ) = 0 นิยาม 1 ให C เปนเสนโคงบนระนาบ และ L เปนเสนตรงที่ไมขนาน กับระนาบพิกัด เซตของจุดที่อยูบนเสนตรงทุกเสนที่ขนานกับเสนตรง L และผานเสนโคง C จะทําใหเกิดพื้นผิวที่เรียกวา ทรงกระบอก โดยที่จะ เรียกเสนโคง C วา เสนบังคับรวม (directrix) สําหรับทรงกระบอก และเสนตรงทุกเสนที่ขนานกับเสนตรง L เรียกวา ตัวกอกําเนิด (generators) ของทรงกระบอก L P(x,y,z) C Q(x,y,0) รูปที่ 8 322 ตัวอยาง 2 จงเขียนกราฟของสมการ x + y + z = 25 วิธีทํา ให z = 0 จะได สมการรอยตัดบนระนาบ xy คือ สมการวงกลม x 2 + y 2 = 25 ดังรูปที่ 7 (ก) ให x = 0 จะได สมการรอยตัดบนระนาบ yz คือ สมการวงกลม x 2 + z 2 = 25 ดังรูปที่ 7 (ข) ให y = 0 จะได สมการรอยตัดบนระนาบ xz คือ สมการวงกลม y 2 + z 2 = 25 ดังรูปที่ 7 (ค) ดังนั้น กราฟของสมการ x 2 + y 2 + z 2 = 25 คือ ทรงกลม ดัง รูปที่ 7 (ง) 2 (ก) 2 z (ข) z 2 y y (0,5,0) (5,0,0) x (ค) x (ง) z z (0,0,5) y x รูปที่ 7 y x (ก) รอยตัดบนระนาบ xy (ข) รอยตัดบนระนาบ yz (ค) รอยตัดบนระนาบ xz (ง) ทรงกลม รวม C เปนพาราโบลาในระนาบพิกัด ทรงกระบอกนี้มีชื่อวา ทรงกระบอกพาราโบลิก เปนตน 323 พื้นผิวกําลังสอง (Quadratic Surface) สมการที่เกี่ยวของกับตัวแปร x และ y ในรูป Ax 2 + By 2 + Cz 2 + Dx + Ey + F = 0 เรียกวา สมการกําลังสองในสองมิติและกราฟของสมการกําลังสองใน สองมิติคือภาคตัดกรวย (conic section) ในขณะที่สมการกําลังสอง ในสามมิติที่เกี่ยวของกับตัวแปร x, y และ z จะอยูในรูป Ax 2 + By 2 + Cz 2 + Dxy + Exz + Fyz + Gx + Hy + Iz + J = 0 จะมีกราฟเปนพื้นผิวเรียกวา พื้นผิวกําลังสอง เมื่อ A, B, C, D, E, F ไมเปนศูนยพรอมกันหมด ทรงรี (Ellipsoid) ทรงรี คือ พื้นผิวซึ่งมีสมการในรูป x2 เมื่อ a, b, c > 0 a 2 + y2 b 2 + z2 c 2 =1 ตัวอยาง 5 จงเขียนกราฟของสมการ 2 2 324 2 x y z + + =1 4 16 9 วิธีทํา พิจารณาสมการเสนโคงบนรอยตัดในระนาบพิกัดดังตาราง 2 ตาราง 2 รอยตัดบนระนาบ สมการรอยตัด ชื่อรอยตัด ระนาบ xy วงรี ดูรูปที่ 11 (ก) x2 y2 + =1 4 16 y2 z2 + =1 16 9 x2 z 2 + =1 4 9 ระนาบ yz ระนาบ xz วงรี ดูรูปที่ 11 (ข) วงรี ดูรูปที่ 11 (ค) เมื่อนําเสนโคงบนแตละระนาบในตาราง 1 มารวมกันจะไดกราฟทรงรี ดังรูปที่ 11 (ง) z z (0,03) (0,4,0) x y y (0,4,0) (2,0,0) x (ก) z รอยตัดบนระนาบ xz (ข) z รอยตัดบนระนาบ yz (0,03) y y (2,0,0) รอยตัดบนระนาบ xy x x (ค) รูปที่ 11 (ก) รอยตัดบนระนาบ xy (ค) รอยตัดบนระนาบ xz (ง) (ข) รอยตัดบนระนาบ yz (ง) ทรงรี 325 พาราโบลอยด (Paraboloid) พาราโบลอยด คือ พื้นผิวซึ่งสอดคลองสมการใดสมการหนึ่งดังตอไปนี้ x2 y2 + 2 = cz เมื่อ a, b > 0 และ c ≠ 0 a b x2 z 2 + 2 = by เมื่อ a, c > 0 และ b ≠ 0 2 a c y2 z2 + 2 = ax เมื่อ b, c > 0 และ a ≠ 0 2 b c 2 ตัวอยาง 6 จงเขียนกราฟ z = x 2 + y 2 วิธีทํา พิจารณาสมการเสนโคงบนรอยตัดในระนาบพิกัดดังตาราง 3 ตาราง 3 รอยตัดบนระนาบ สมการรอยตัด ชื่อรอยตัด ระนาบ xy จุดกําเนิด x2 + y 2 = 0 ระนาบ yz พาราโบลา z = x2 ระนาบ xz พาราโบลา z = y2 กําหนด z = k จะได สมการรอยตัดของพื้นผิวบนระนาบ z = k คือ สมการวงกลม x 2 + y 2 = k ถา k > 0 เมื่อนําเสนโคงบนแตละระนาบขางตนมารวมกันจะไดกราฟในรูปที่ 12 และจะเรียกพื้นผิว z = x 2 + y 2 วา พาราโบลอยดเชิงวงกลม (circular paraboloid ) 326 รอยตัดบนระนาบ z = k รูปที่ 12 ไฮเปอรโบลอยดชนิดชิ้นเดียว (Hyperboloid of One Sheet) ไฮเปอรโบลอยดชนิดชิ้นเดียว คือ พืน้ ผิวซึ่งสอดคลองสมการใด สมการหนึ่งดังตอไปนี้ x2 y2 z2 + 2 − 2 = 1 เมื่อ a, b, c > 0 a b c x2 y 2 z 2 − 2 + 2 = 1 เมื่อ a, b, c > 0 2 a b c x2 y 2 z 2 − 2 + 2 + 2 = 1 เมื่อ a, b, c > 0 a b c 2 z2 ตัวอยาง 7 จงเขียนกราฟ x + y − = 1 4 2 2 วิธีทํา พิจารณาสมการเสนโคงบนรอยตัดในระนาบพิกัดดังตาราง 4 ตาราง 4 รอยตัดบนระนาบ ระนาบ xy ระนาบ yz ระนาบ xz 327 สมการรอยตัด x2 + y 2 = 1 z2 y − =1 4 2 2 z x − =1 4 2 ชื่อรอยตัด วงกลม ไฮเปอรโบลา ไฮเปอรโบลา ให z = k กําหนด z = ± 2 จะได สมการรอยตัดของพื้นผิวบน ระนาบ z = 2 และ z = -2 คือ สมการวงกลม x 2 + y 2 = 2 เมื่อนําเสนโคงบนแตละระนาบขางตนมารวมกันจะไดกราฟไฮเปอรโบ ลอยดชนิดชิ้นเดียว ดังรูปที่ 13 รอยตัดบนระนาบ z = k รอยตัดบนระนาบ z = -k รูปที่ 13 328 ไฮเปอรโบลอยดชนิดสองชิ้น (Hyperboloid of Two Sheets) ไฮเปอรโบลอยดชนิดสองชิ้น คือ พื้นผิวซึ่งสอดคลองสมการใด สมการหนึ่งดังตอไปนี้ 2 x − 2 a x2 a2 2 − x2 a y2 z2 − 2 + 2 =1 b c y2 z2 − 2 − 2 =1 b c y2 z2 + 2 − 2 =1 b c เมื่อ a, b, c > 0 เมื่อ a, b, c > 0 เมื่อ a, b, c > 0 y2 ตัวอยาง 8 จงเขียนกราฟ − x − + z 2 = 1 4 2 วิธีทํา พิจารณาสมการเสนโคงบนรอยตัดในระนาบพิกัดดังตาราง 5 ตาราง 5 รอยตัดบนระนาบ สมการรอยตัด ชื่อรอยตัด ระนาบ xy ระนาบ yz ระนาบ xz y2 −x − = 1 ไมมี 4 y2 − + z 2 = 1 ไฮเปอรโบลา 4 2 − x2 + z 2 = 1 ไฮเปอรโบลา 329 ให z = k กําหนด z = ± 2 จะได สมการเสนโคงระดับที่เปนรอย ตัดของพื้นผิวบนระนาบ z = − 2 และระนาบ z = 2 คือ สมการวงรี x2 y 2 + =1 3 12 เมื่อนําเสนโคงบนแตละระนาบขางตนมารวมกันจะไดกราฟไฮเปอรโบ ลอยดชนิดสองชิ้น ดังรูปที่ 14 รอยตัดบนระนาบ z = k รอยตัดบนระนาบ z = -k รูปที่ 14 กรวย (Cone) กรวย คือ พื้นผิวซึ่งสอดคลองสมการใดสมการหนึ่งดังตอไปนี้ x2 y2 z2 + 2 − 2 = 0 เมื่อ a, b, c > 0 a b c x2 y 2 z 2 − 2 + 2 = 0 เมื่อ a, b, c > 0 2 a b c x2 y 2 z 2 − 2 + 2 + 2 = 0 เมื่อ a, b, c > 0 a b c 2 ตัวอยาง 9 จงเขียนกราฟ x 2 + วิธีทํา ตาราง 6 รอยตัดบนระนาบ ระนาบ xy ระนาบ yz ระนาบ xz 330 2 y − z2 = 0 4 สมการรอยตัด ชื่อรอยตัด y2 x + =0 4 y z=± 2 จุดกําเนิด z = ±x เสนตรง 2 เสนตรง ให z = k กําหนด z = ±1 จะได สมการรอยตัดของพื้นผิวบน ระนาบ z = − 1 และระนาบ z = 1 คือ สมการวงรี y2 x + = 1 เมื่อนําเสนโคงบนแตละระนาบขางตนมารวมกันจะ 4 ไดกราฟรูปกรวย ดังรูปที่ 15 โดยที่แกน z เปนแกนของกรวย 2 รอยตัดบนระนาบ z = 1 y รอยตัดบนระนาบ z = -1 รูปที่ 15 331 ไฮเปอรโบลิกพาราโบลอยด (Hyperbolic Paraboloid) ไฮเปอรโบลิกพาราโบลอยด คือ พื้นผิวซึ่งสอดคลองสมการใดสมการ หนึ่งดังตอไปนี้ x2 y2 − 2 + 2 = cz เมื่อ a, b > 0 และ c ≠ 0 a b y2 z2 − 2 + 2 = ax เมื่อ b, c > 0 และ a ≠ 0 b c x2 z 2 − 2 + 2 = by เมื่อ a, c > 0 และ b ≠ 0 a c x2 y 2 ตัวอยาง 10 จงเขียนกราฟ − + = z 9 4 วิธีทํา ตาราง 7 รอยตัดบนระนาบ สมการรอยตัด ระนาบ xy y = ± ระนาบ yz y2 z= 4 x2 z=− 9 ระนาบ xz 2 x 3 ชื่อรอยตัด เสนตรง พาราโบลา พาราโบลา 332 ให z = 1 และ z = −1 จะได สมการรอยตัดบนระนาบ z = 1 และ x2 y 2 ระนาบ z = −1 คือ สมการไฮเปอรโบลา − + = 1 และ 9 4 x2 y2 − = 1 ตามลําดับ 9 4 เมื่อนําเสนโคงบนแตละระนาบขางตนมารวมกันจะไดกราฟดังรูปที่ 16 รูปที่ 16 ตัวอยาง 11 จงเขียนกราฟ 16 x 2 − 9 y 2 + 36 z 2 = 144 พรอมทัง้ บอกชื่อกราฟ x2 y2 z 2 − + =1 วิธีทํา จัดสมการใหมได 9 16 4 ตาราง 2 รอยตัดบนระนาบ ระนาบ xy ระนาบ yz ระนาบ xz 333 สมการรอยตัด x2 y 2 − =1 9 16 z2 y2 − =1 4 16 x2 z 2 + =1 9 4 ชื่อรอยตัด ไฮเปอรโบลา ไฮเปอรโบลา วงรี จากตาราง 2 กราฟที่ไดคือ ไฮเปอรโบลอยดชนิดชิ้นเดียว ดังรูปที่ 17 รูปที่ 17 D แบบฝกหัดที่ 1 ขอ 1-3 จงหาโดเมนของฟงกชัน f และหาคาฟงกชัน f ที่จุดที่ กําหนดให 1. f ( x, y ) = 2 x − y 2 ; f (−2,5), f (5, −2), f (0, −2) 2. f (u, v) = uv ; f (2,3), f (−14), f (0,1) u − 2v 334 3. f ( x, y, z ) = 25 − x 2 − y 2 − z 2 ; f (1, −2, 2), f (−3,0, 2) ขอ 1-3 จงเขียนกราฟของสมการที่กําหนดใหในปริภูมิสามมิติ 4. (ก) x 2 + y 2 = 25 (ข) y 2 + z 2 = 25 (ค) x 2 + z 2 = 25 6. 2x + z = 3 7. y 2 − 4 z 2 5. z = 1 − y 2 x2 y 2 z 2 8. + + = 1 9 25 4 x2 y 2 z 2 10. + − =1 9 16 4 12. z = y 2 − x 2 9. z = x2 + 4 y 2 11. 9 z 2 − 4 y 2 − 9 x 2 = 36 13. x 2 − 3 y 2 − 3z 2 = 0 14. 2 y 2 − x 2 + 2 z 2 = 8 เฉลยคําตอบแบบฝกหัดที่ 1 1. D f = {( x, y ) / x, y ∈ \}; − 29, 6, − 4 2. D f = {(u, v) / u ≠ 2v}; − 32 , 94 , 0 3. D f = {( x, y, z ) / x 2 + y 2 + z 2 ≤ 4} ; 4, 2 3 4. 5. (ก) (ข) (ค) 6. 335 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 336 ลิมิตและความตอเนื่องของฟงกชันหลายตัวแปร (Limit and Continuity of Serveral Variables) นิยาม 1 ให f ( x, y ) เปนฟงกชันสองตัวแปร จะกลาววา ลิมิตของ f ( x, y ) ลูเขาสูจํานวนจริง L ในขณะที่จุด ( x, y ) ในระนาบ xy ลู เขาสูจุด (a, b) ซึ่งเขียนแทนดวยสัญลักษณ lim ( x , y ) → ( a ,b ) f ( x, y ) = L นั่นคือ ไมวาจะให ε > 0 มีคานอยเพียงใดก็ตาม จะสามารถหาวงกลม รัศมี δ ที่มีจุดศูนยกลางที่ (a, b) นั่นคือ 0 < ( x − a ) 2 + ( y − b) 2 < δ ซึ่งมีคุณสมบัติวาทุก (x,y) ที่อยูภายในวงกลมนี้ | f ( x, y ) − L |< ε เสมอ ดังรูปที่ 1 z L+ε f ( x, y ) L L −ε δ x รูปที่ 1 ( x, y ) ( a, b) y 337 จากนิยาม 1 สามารถขยายไปสูนิยามลิมิตของฟงกชันสามตัวแปร นิยาม 2 ให f ( x, y, z ) เปนฟงกชันสามตัวแปร จะกลาววา lim ( x , y , z )→( a ,b,c ) f ( x, y , z ) = L ถา ε > 0 มีคานอยเพียงใดก็ตาม จะสามารถหาทรงกลมรัศมี δ ที่มี จุดศูนยกลางที่ (a, b, c) นั่นคือ 0 < ( x − a ) 2 + ( y − b) 2 + ( z − c ) 2 < δ ซึ่งมีคุณสมบัติวาทุก (x,y z) ที่อยูภายในทรงกลมนี้ | f ( x, y, z ) − L |< ε ความสัมพันธระหวางลิมิตและลิมิตตามเสนโคง ทฤษฎีบท 1 ถาฟงกชัน f ( x, y ) มีลิมิตเปนจํานวนจริง L ขณะที่จุด ( x, y ) ลูเขาสูจุด (a, b) แลว f ( x, y ) จะมีคาลิมิตเพียงคาเดียวคือ L ขณะที่จุด ( x, y ) ลูเขาสูจุด (a, b) ทุกเสนในระนาบ xy ที่อยูใน โดเมนของ f สําหรับฟงกชันสองตัวแปร เสนทางในระนาบ xy ที่ทําใหจุด (x,y) เขา สูจุด (a,b) มีจํานวนเปนอนันต (ดูรูปที่ 2 ) ดังนั้น ถาลิมิตในบทนิยาม 1 มีคาเทากับ L หมายความวา จุด (x,y) เขาสูจดุ (a,b) ตามเสนทางใดก็ ได แตตองทําให lim f ( x, y ) = L ทุกเสนทาง ( x , y ) → ( a ,b ) 338 y (a, b) x รูปที่ 2 ตัวอยาง 1 จงหาลิมิตของ f ( x, y ) = ตามแนวเสนทางตอไปนี้ (ก) แกน x (ค) เสนโคงพาราโบลา y = x 2 xy ขณะที่ ( x, y ) เขาสู 2 2 x +y (0, 0) (ก) (ข) แกน y (ง) เสนตรง y = x วิธีทํา ให ( x, y ) → (0,0) ตามแนวแกน x xy 0 = =0 lim lim 2 2 2 ( x , y )→(0,0) x + y ( x , y )→(0,0) x (ข ) วิธีทํา ให ( x, y ) → (0,0) ตามแนวแกน y xy 0 = =0 lim lim 2 2 2 ( x , y )→(0,0) x + y ( x , y )→(0,0) y (ค ) วิธีทํา ให ( x, y ) → (0,0) ตามแนวเสนโคงพาราโบลา y = x2 xy lim ( x , y )→(0,0) x2 + y 2 (ง) วิธีทํา ให = x2 + x4 x = =0 lim 2 ( x, y )→(0,0) 1 + x ( x, y ) → (0,0) ตามแนวเสนตรง y = x ( x, y )→(0,0) xy lim x lim 339 3 ( x , y )→(0,0) x +y 2 2 = x2 lim ( x , y )→(0,0) x2 + x2 = 1 2 จากขอ (ก) และ (ง) จะพบวาขณะที่ ( x, y ) เขาสูจุด (0, 0) ในทิศทางที่ ตางกันจะทําให f ( x, y ) เขาสูคาที่ตางกัน แสดงวา lim ( x , y )→(0,0) xy x +y 2 2 หาคาไมได หลักเกณฑสองเสนทาง (Two-Path-Rule) ถาจุด (x,y) เขาสูจุด (a,b) ในสองเสนทางใด ๆแลวทําใหลิมิตของ f(x,y) มีคาตางกันแสดงวา lim f ( x, y ) หาคาไมได ( x , y ) → ( a ,b ) ตัวอยาง 2 จงแสดงวา x2 y lim ( x , y )→(0,0) x 4 +y 2 หาคาไมได วิธีทํา 1) ให ( x, y ) → (0,0) ตามแนวเสนตรง y = x lim ( x , y )→(0,0) x2 y x +y 4 2 = lim ( x , y )→(0,0) x3 x4 + x2 = 2) x lim x +1 ( x, y ) → (0,0) 2 ( x, y )→(0,0) ให 340 =0 ตามแนวเสนโคง y = x2 x2 y x4 1 = = lim lim 4 2 4 2 ( x , y )→(0,0) x + y ( x , y )→(0,0) 2 x จากขอ (1) และ (2) จะสรุปวา lim ( x , y )→(0,0) x x2 y 4 +y 2 สมบัติลิมิตของฟงกชันสองตัวแปร f ( x, y ) = L และ ถา lim ( x , y ) → ( a ,b ) หาคาไมได lim ( x , y ) → ( a ,b ) 1. lim [ f ( x, y ) ± g ( x, y )] = L ± M 2. lim [ f ( x, y ) g ( x, y )] = LM ( x , y ) → ( a ,b ) g ( x, y ) = M ( x , y ) → ( a ,b ) ⎡ f ( x, y ) ⎤ L 3. lim ⎢ g ( x, y ) ⎥ = M ( x, y )→( a ,b ) ⎣ ⎦ 4. lim [kf ( x, y )] = kL ( x , y )→( a ,b ) 5. lim เมื่อ M ≠ 0 เมื่อ k เปนคาคงตัว [ f ( x, y )]m / n = Lm / n ( x, y )→( a ,b ) แลว ตัวอยาง 3 จงหา 341 5x y − 9 3 2 lim ( x , y )→(1,4) x2 y วิธีทํา 5x y − 9 3 2 lim ( x , y )→(1,4) x2 y lim = ( x , y )→(1,4) 5 x3 y 2 − lim ( x, y )→(1,4) lim ( x , y )→(1,4) 2 9 x y 5(1)3 (4) 2 − 9 71 = = 4 4 ความตอเนื่องของฟงกชันสองตัวแปร นิยาม 3 จะกลาววาฟงกชัน f (x, y) มีความตอเนื่องที่จุด (a, b) ถา f สอดคลองเงื่อนไขตอไปนี้ (ก) f (a,b) หาคาได (ข) lim f ( x, y ) หาคาได ( x , y ) → ( a ,b ) (ค) lim ( x , y ) → ( a ,b ) f ( x, y ) = f ( a , b ) หมายเหตุ ถาเงื่อนไขขอใดขอหนึ่งไมเปนจริง แลวจะกลาววา f (x, y) ไมมีความตอเนื่องที่จุด (a, b) และจะเรียกฟงกชัน f (x, y) วา ฟงกชันตอเนื่อง ถา f (x, y) มีความตอเนื่องที่ทุกจุดบนโดเมนของ f 342 ตัวอยาง 4 จงพิจารณาวา ⎧ x + 3y +1 , ( x, y ) ≠ (0,1) ⎪ f ( x, y ) = ⎨ x − 1 ⎪⎩−4, ( x, y ) = (0 ,0) มีความตอเนื่องที่จดุ (0, 0) หรือไม วิธีทํา f (0,1) = −4 lim ( x , y )→(0,1) เนื่องจาก x + 3y +1 = −4 ( x , y )→(0,1) x −1 f ( x, y ) = f (0,1) = −4 f ( x, y ) = lim ( x , y )→(0,1) lim เพราะฉะนั้น f ( x, y ) มีความตอเนื่องที่จุด (0, 1) ฟงกชันตอเนื่อง ทฤษฎีบท 2 (ก) ถาฟงกชันหนึ่งตัวแปร g ( x) และ h( x) เปนฟงกชันตอเนื่อง แลว f ( x, y ) = g ( x)h( y ) เปนฟงกชันตอเนื่อง (ข) ถาฟงกชันหนึ่งตัวแปร g (u ) เปนฟงกชันตอเนื่องและฟงกชัน สองตัวแปร u = h( x, y ) เปนฟงกชันตอเนื่องแลว ฟงกชัน ประกอบของ g (u ) และ u = h( x, y ) คือ f ( x, y ) = g (h( x, y )) เปนฟงกชันตอเนื่องของ x และ y 343 จากทฤษฎีบท 2 จะไดสมบัติของฟงกชันตอไปนี้ ฟงกชันพหุนามของตัวแปร x และ y เปนฟงกชันตอเนื่อง ฟงกชันตรรกยะ เปนฟงกชันตอเนื่อง ยกเวนจุดที่ทําใหสวนเปนศูนย ถา f (x,y) และ g(x,y) มีความตอเนื่องที่จุด (a,b) แลว f + g , f − g , f ⋅ g มีความตอเนื่องที่จดุ (a,b) ถา f (x,y) และ g(x,y) มีความตอเนื่องที่จุด (a,b) และ f มีความตอเนื่องที่จุด (a,b) g ถา f (x,y) มีความตอเนื่องที่จุด (a,b) g (a, b) ≠ 0 แลว แลว lim f ( x, y ) = f (a, b) ( x , y ) → ( a ,b ) ตัวอยาง 5 จงหาเซตของทุกจุดที่ทําให f ( x, y ) = ln( x + y − 1) เปน ฟงกชันตอเนื่อง วิธีทํา เนื่องจาก f (x,y) เปนฟงกชันประกอบของ g (u ) = ln u และ u = x + y − 1 โดยที่ g (u ) = ln u เปนฟงกชันตอเนื่องทุก u > 0 และ u = x + y − 1 เปนฟงกชันตอเนื่อง จากทฤษฎีบท 2 ขอ (ข) จะได f ( x, y ) = ln( x + y − 1) เปน ฟงกชันตอเนื่อง ดังนั้น เซตของทุกจุดที่ทําให f ( x, y ) เปนฟงกชัน ตอเนื่อง คือ {( x, y ) / x + y > 1} 344 ลิมิตที่จุดซึ่งฟงกชนั ไมตอเนื่อง ตัวอยาง 6 จงหาคาลิมิต lim ( x , y )→(0,0) x 2 − xy x− y วิธีทํา lim ( x , y )→(0,0) ⎛ x 2 − xy ⎞ ⎛ x + y ⎞ x 2 − xy = lim ⎜ ⎟⎜ ⎟ x − y ( x, y )→(0,0) ⎜⎝ x − y ⎟⎠ ⎝ x + y ⎠ = x( x − y ) lim วิธีทํา x+ y x− y ( x, y )→(0,0) ตัวอยาง 7 จงหาคาลิมิต ( )=0 yx 4 − y ( z + 3)4 lim ( x , y , z )→(0,2, −3) 4 4 x 2 + ( z + 3)2 yx − y ( z + 3) lim ( x , y , z )→(0,2, −3) = x 2 + ( z + 3) 2 lim ( x, y , z )→(0,2, −3) ตัวอยาง 8 จงหาคาลิมิต lim ( x , y )→(0,0) ( y x 2 − ( z + 3) 2 ) =0 ( x 2 + y 2 ) ln( x 2 + y 2 ) วิธีทํา ให x = r cosθ , y = r sin θ , r 2 = x 2 + y 2 เนื่องจาก r ≥ 0 จะไดวา r = x 2 + y 2 ดังนั้น ( x, y ) → (0,0) ก็ตอเมื่อ r → 0+ lim ( x , y )→(0,0) 345 ( x + y ) ln( x + y ) = lim r ln r = 0 2 2 2 2 2 2 r →0+ แบบฝกหัดที่ 2 ขอ 1-6 จงหาลิมิต x2 − 2 2. lim ln(1 + x 2 y 3 ) 1. lim ( x , y )→(0,0) 3 + xy ( x , y )→(0,0) xy − y 3. lim ( x , y )→(1,2) x 2 − x + 2 xy − 2 y 4. lim 3x 2 − 2 x 2 y + 3 y 2 x − 2 y3 x2 + y 2 ( x , y )→(0,0) 5. 6. lim x3 − x 2 y + xy 2 − y 3 x2 + y 2 ( x , y )→(0,0) y2 − 4 y + 3 lim ( x , y , z )→(2,3,1) x 2 z ( y − 3) ขอ 7-9 จงแสดงวาลิมิตหาคาไมได 7. 9. lim 2 x2 − y 2 ( x , y )→(0,0) x 2 lim 8. lim ( x , y )→(0,0) + 2y xy − 2 x − y + 2 ( x , y )→(1,2) x 2 2 + y2 − 2x − 4 y + 5 x 2 − 2 xy + 5 y 2 3x 2 + 4 y 2 346 ขอ 10-11 จงใชพิกัดเชิงขั้วหาลิมิต (ถาลิมิตหาคาได) 10. xy 2 lim ( x , y )→(0,0) x 2 +y 11. 2 lim x2 + y 2 ( x , y )→(0,0) sin( x 2 + y2 ) ขอ12-14 จงหาเซตของจุดทั้งหมดที่ทําให f เปนฟงกชันตอเนื่อง 12. f ( x, y ) = xy x −y 2 13. f ( x, y ) = xe 2 1− y 2 14. f ( x, y, z ) = 4 − x 2 + y 2 − z 2 ⎧ sin( x 2 + y 2 ) , ( x, y ) ≠ (0,0) ⎪ 2 2 15. ให f ( x, y ) = ⎨ x + y ⎪1, ( x, y ) = (0 ,0) ⎩ จงพิจารณาวา f มีความตอเนื่องที่จุด (0,0) หรือไม เฉลยคําตอบแบบฝกหัดที่ 2 1. − 23 2. 0 3. 6. 10. 0 11. 0 1 2 2 5 13. {( x, y ) / x ≥ 0 และ | y |≤ 1} 14. {( x, y, z ) / x 2 + y 2 + z 2 ≤ 4} 15. f มีความตอเนื่องที่จุด (0,0) 4. 0 5. 0 12. {( x, y ) / x 2 ≠ y 2 } 347 อนุพันธยอย (Partial derivatives) นิยาม 1 (อนุพันธยอ ยอันดับหนึ่ง) ให f ( x, y ) เปนฟงกชันสองตัวแปร อนุพันธยอยอันดับหนึ่ง ของ f เทียบกับ x และ y คือ ฟงกชัน f x ( x, y ) และ f y ( x, y ) ที่ นิยามโดย f ( x + h, y ) − f ( x , y ) h h →0 f ( x, y + h ) − f ( x, y ) f y ( x, y ) = lim h h →0 f x ( x, y ) = lim สัญลักษณอื่นๆของอนุพันธยอยอันดับหนึ่ง ถา z = f(x, y) จะไดวา ¾ อนุพันธยอ ยอันดับหนึ่งของ f(x, y) เทียบกับ x ∂ ∂z f ( x, y ) = = z x ∂x ∂x ¾ อนุพันธยอ ยอันดับหนึ่งของ f(x, y) เทียบกับ y ∂f ∂ ∂z =zy f y ( x, y ) = , f y ( x, y ) = f ( x, y ) = ∂y ∂y ∂y ¾ อนุพันธยอ ยอันดับหนึ่งของ f(x, y) ที่จุด ( x0 , y0 ) เขียนแทนดวย ∂f ∂f f x ( x0 , y0 ) = = ∂x ( x0 , y0 ) ∂x x = x0 , y = y0 f x ( x, y ) = f y ( x0 , y0 ) = ∂f , ∂x f x ( x, y ) = ∂f ∂y ( x 0 , y0 ) = ∂f ∂y x = x0 , y = y0 348 วิธีหาอนุพันธยอย ในการหา fx(x, y) จะกําหนดใหตัวแปร y เปนคาคงตัว ชั่วขณะ และใชสูตรการหาอนุพันธของฟงกชันหนึ่งตัวแปรหาอนุพันธ ของ f (x, y) เทียบกับตัวแปร x เพียงตัวเดียว ในขณะที่การหา fy(x, y) จะกําหนดใหตัวแปร x เปนคาคงตัวชั่วขณะ แลวหา อนุพันธของ f(x, y) เทียบกับตัวแปร y เพียงตัวเดียว ตัวอยาง 1 ให f ( x, y ) = x3 y 2 − 2 x 2 y + 3x จงหา (ก) อนุพันธยอ ยอันดับหนึ่งของ f (x, y) (ข) อนุพันธยอ ยอันดับหนึ่งของ f (x, y) ที่จุด (2, −1) (ก) วิธีทํา อนุพันธยอยอันดับหนึ่งของ f (x, y) คือ f x ( x, y ) = 3 x 2 y 2 − 4 xy + 3 f y ( x, y ) = 2 x 3 y − 2 x 2 (ข ) วิธีทํา อนุพันธยอยอันดับหนึ่งของ f (x, y) ที่จุด (2, −1) คือ f x (2, −1) = 23 และ f y (2, −1) = −24 ตัวอยาง 2 จงหา วิธีทํา ∂w ∂x และ ∂w ∂y ถา w = xy 2e xy ∂w = xy 3e xy + y 2e xy = y 2e xy ( xy + 1) ∂x ∂w = x 2 y 2 e xy + 2 xye xy = xye xy ( xy + 2) ∂y 349 จากนิยาม 1 อนุพันธยอย f x ( x, y ) หมายถึงอัตราการเปลี่ยนแปลง ชั่วขณะ (instantaneous rate) ของ f เทียบกับ x เมื่อ x เปลี่ยน จาก x เปน x + h ขณะที่ให y คงที่ ในทํานองเดียวกัน f y ( x, y ) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงชั่วขณะของ f เทียบกับ y เมื่อ y เปลี่ยนจาก y เปน y + h ขณะที่ให x คงที่ ตัวอยาง 3 ให D แทนความยาวเสนทแยงมุมของสี่เหลี่ยมมุมฉากที่ถูก กําหนดโดย D = x 2 + y 2 เมื่อ x และ y แทนความยาวดาน (ก) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ D เทียบกับ x ถา x เปลี่ยนแปลง ขณะที่ y คงที่ (ข) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ D เทียบกับ x ถา x = 3 นิ้วและ y = 4 นิ้ว (ก) วิธีทํา ∂D 1 2 = 2 ( x + y 2 ) −1/ 2 (2 x) = ∂x (ข ) วิธีทํา ∂D 3 = ∂x x =3, y = 4 5 x x2 + y 2 ดังนั้น ความยาวเสนทแยงมุม D เพิ่มขึ้นดวยอัตรา 3/5 นิ้วตอการเพิ่ม ความยาวของดาน x ในทํานองเดียวกัน อนุพันธยอยอันดับหนึ่งของฟงกชันสามตัวแปรจะ นิยามเชนเดียวกับอนุพันธยอยอันดับหนึ่งของฟงกชันสองตัวแปรดังนี้ f ( x + h, y , z ) − f ( x , y , z ) h h →0 f ( x , y + h, z ) − f ( x , y , z ) f y ( x, y, z ) = lim h h →0 f ( x, y , z + h ) − f ( x, y , z ) f z ( x, y, z ) = lim h h →0 f x ( x, y, z ) = lim ตัวอยาง 4 จงหาอนุพันธยอ ยอันดับหนึ่งของ w = x 2 y 3 + sin y + e xz วิธีทํา อนุพันธยอยอันดับหนึ่งของ f (x, y) คือ f x ( x, y ) = 3 x 2 y 2 − 4 xy + 3 f y ( x, y ) = 2 x 3 y − 2 x 2 ความหมายทางเรขาคณิตของอนุพันธยอย ให S แทนพื้นผิวของสมการ z = f ( x, y ) และให P(a, b, f (a, c)) เปนจุดบนพื้นผิว S ที่ซึ่ง f x ( x, y ) และ f y ( x, y ) หาคาไดที่จุด P (ดูรูปที่ 1) z P(a, b, f (a, c)) S b a (a,b,0) x รูปที่ 1 y 350 351 อนุพันธยอ ยของ f ( x, y ) สามารถอธิบายไดดวยรูปทรง เรขาคณิต ดังนี้ (ดูรูปที่ 2-3) ถาให y คงที่ นั่นคือ y = b จะได f ( x, b) เปนฟงกชันของ เสนโคง C1 ที่เปนรอยตัดของพื้นผิว S กับระนาบ y = b ดังนั้น อนุพันธยอ ย f x (a, b) คือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคง C1 ที่จุด P (a, b, f (a, b)) หรือกลาววา f x (a, b) คือ ความชันของพื้นผิว S ทิศทางของ x ที่จุด P(a, b, f (a, b)) z ความชัน = f x ( a, b) L2 P(a, b, f (a, c)) S C1 b y a x ( a, b) รูปที่ 2 ในทํานองเดียวกัน ถาให x คงที่ นั่นคือ x = a จะได f (a, y ) เปนฟงกชันของเสนโคง C2 ที่เปนรอยตัดของพื้นผิว S กับ ระนาบ x = a ดังนั้น อนุพันธยอย f y (a, b) คือ ความชันของเสน สัมผัสเสนโคง C2 ที่จุด P(a, b, f (a, b)) หรือกลาววา f y (a, b) คือ ความชันของพืน้ ผิว S ทิศทางของ y ที่จุด P(a, b, f (a, b)) ความชัน = f y ( a, b) 352 z P(a, b, f (a, b)) S C2 L1 b a x y ( a, b) รูปที่ 3 ตัวอยาง 5 จงหาความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (-1,1,5) ซึ่ง สัมผัสเสนโคงเกิดจากการตัดกันของพื้นผิว z = x 2 + 4 y 2 และ (ข) ระนาบ y = 1 (ก) ระนาบ x = −1 วิธีทํา (ก) ∂z = 2 x, ∂x ∂z = 8y ∂x ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่เกิดจากการตัดกันของพื้นผิว z = x 2 + 4 y 2 และระนาบ x = −1 ที่จุด (-1,1,5) คือ z y ( −1,1) = 8 (ข ) ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่เกิดจากการตัดกันของพื้นผิว z = x 2 + 4 y 2 และระนาบ y = 1 ที่จุด (-1,1,5) คือ z x ( −1,1) = −2 353 แบบฝกหัดที่ 3 ขอ 1-7 จงหาอนุพนั ธยอยอันดับหนึ่งของ f 1. 3. 5. x+ y f ( x, y ) = 2 x y − xy + 3 y + 1 2. f ( x, y ) = x− y t+v 4. f (t , v) = ln f (r , s) = r 2 + s 2 t −v f ( x, y ) = x cos xy 6. f (r , s, t ) = r 2e2 s cos t 4 3 2 () 7. f ( x, y, z ) = xe z − ye x + ze− y 8. ให z = x 2 + 4 y 2 จงหา (ก) ∂z ∂x (1,2) (ข) ∂z ∂y (1,2) 9. ให f ( x, y, z ) = xy ( x 2 + y 2 + z 2 )1/ 3 จงหา f y ที่จุด (1,1,0) 10. ให z = sin( y 2 − 4 x) (ก) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ z เทียบกับ x ที่จุด (2,1) ขณะที่ให y คงที่ (ข) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ z เทียบกับ y ที่จุด (2,1) ขณะที่ให x คงที่ 11. ให f ( x, y ) = 3x + 2 y (ก) จงหาความชันของพื้นผิว z = f ( x, y ) ในทิศทางของ x ที่จุด (4, 2) (ข) จงหาความชันของพื้นผิว z = f ( x, y ) ในทิศทางของ y ที่จุด (4, 2) 354 เฉลยคําตอบแบบฝกหัดที่ 3 1. f x ( x, y ) = 8 x3 y3 − y 2 ; f y ( x, y ) = 6 x 4 y 2 − 2 xy + 3 2. f x ( x, y ) = 3. 4. −2 y ( x − y) r ; f y ( x, y ) = 2 2x ( x − y)2 s f r (r , s ) = 2 2 1/ 2 ; f s (r , s ) = 2 2 1/ 2 (r + s ) (r + s ) v t ft (t , v) = − 2 2 ; f v (t , v) = 2 2 t −v t −v 5. f x ( x, y ) = cos ( )− x y 2s ( ); x sin x y y ( ) sin ( ) f y ( x, y ) = xy 2 2s 2 6. f r (r , s, t ) = 2re cos t; f s (r , s, t ) = 2r e cos t ; ft (r , s, t ) = − r 2e 2 s sin t 7. f x ( x, y, z ) = e z − ye x ; f y ( x, y, z ) = −e x − ze y ; 8. 9. f z ( x, y, z ) = xe z + e− y ∂z 1 = (ก) ∂x (1,2) 17 43 2 3 11. (ก) 3 8 (ข) ∂z 8 = ∂y (1,2) 17 10. (ก) −4cos 7 (ข) 1 4 (ข) 2cos 7 x y 355 อนุพันธยอยอันดับสูง (Higher Order Partial Derivatives) จากอนุพันธยอยอันดับหนึ่งของ f ( x, y ) คือ f x และ f y ซึ่ง เปนฟงกชันของ x และ y เราจะสามารถหาอนุพนั ธยอยเทียบ x และ y ไดอีก จะเรียกวา อนุพันธยอ ยอันดับสอง อนุพันธยอ ยอันดับสองของ f ( x, y ) มีทั้งหมด 4 อนุพนั ธยอย คือ f xx f yy f xy f yx ∂ 2 f ∂f ⎛ ∂f ⎞ = 2 = ⎜ ⎟ ∂x ⎝ ∂x ⎠ ∂x ∂ 2 f ∂f ⎛ ∂f ⎞ = = ⎜ ⎟ ∂y∂y ∂y ⎝ ∂y ⎠ ∂ 2 f ∂f ⎛ ∂f ⎞ = = ⎜ ⎟ ∂y∂x ∂y ⎝ ∂x ⎠ ∂ 2 f ∂f ⎛ ∂f ⎞ = = ⎜ ⎟ ∂x∂y ∂x ⎝ ∂y ⎠ อนุพันธยอ ย 2 ตัวทายเรียกวา อนุพนั ธยอยผสม ขอสังเกต 1. สัญลักษณในรูปแบบดัชนีลาง เปนการหาอนุพันธยอยเรียงลําดับจาก ซายไปขวา 2. สัญลักษณในรูป “ ∂ ” เปนการหาอนุพันธยอยเรียงลําดับจากขวาไป ซาย 356 ตัวอยาง1 จงหาอนุพันธยอยอันดับสองของ f ( x, y ) = x 2 y 3 + ye x วิธีทํา f x = 2 xy 3 + ye x และ f y = 3x 2 y 2 + e x ดังนั้นอนุพันธยอยอันดับสองทั้งหมดคือ ∂ ⎛ ∂f ⎞ ∂ 3 x 3 x ⎜ ⎟ = (2 xy + ye ) = 2 y + ye ∂x ⎝ ∂x ⎠ ∂x ∂ ⎛ ∂f ⎞ ∂ f yy = ⎜ ⎟ = (3 x 2 y 2 + e x ) = 6 x 2 y ∂y ⎝ ∂y ⎠ ∂y ∂ ⎛ ∂f ⎞ ∂ f xy = ⎜ ⎟ = (2 xy 3 + ye x ) = 6 xy 2 + e x ∂y ⎝ ∂x ⎠ ∂y ∂ ⎛ ∂f ⎞ ∂ f yx = ⎜ ⎟ = (3 x 2 y 2 + e x ) = 6 xy 2 + e x ∂x ⎝ ∂y ⎠ ∂x f xx = ทฤษฎีบท การเทากันของอนุพันธยอ ยผสม กําหนดให f เปนฟงกชันสองตัวแปร ถา f x , f y , f xy และ f yx เปนฟงกชันตอเนื่องบนบริเวณ R แลว f xy = f yx ทุกๆจุดบน บริเวณ R ตัวอยาง2 จงหาอนุพันธยอยอันดับสองของ f ( x, y ) = y ln x + tan −1 ( x + y ) วิธีทํา 357 ตัวอยาง3 จงหาอนุพันธยอยอันดับสองของ f ( x, y ) = x 2 sin y ที่ π จุด ⎛⎜ 2, ⎞⎟ ⎝ วิธีทํา 2⎠ 358 ตัวอยาง4 กําหนดให z = sin(u − v) + ln(u + v) วิธีทํา ∂2 z ∂2 z จงแสดงวา 2 − 2 = 0 ∂u ∂v ∂z 1 = cos(u − v) + ∂u (u + v) ∂2 z 1 sin( ) = − u − v − (u + v) 2 ∂u 2 ∂z 1 = − cos(u − v) + (u + v) ∂v ∂2 z 1 = − sin( u − v ) − ∂v 2 (u + v) 2 ดังนั้น ∂2 z ∂2 z ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ u v u v − = − sin( − ) − − − sin( − ) − ∂u 2 ∂v 2 ⎜⎝ (u + v) 2 ⎟⎠ ⎜⎝ (u + v) 2 ⎟⎠ ∂2 z ∂2 z ∴ − 2 =0 2 ∂u ∂v เราสามารถหาอนุพันธยอยอันดับสามหรืออันดับสูงกวาไปเรื่อยๆได ดังเชน ∂ ⎛ ∂2 f ⎞ f xxx = ⎜ 2 ⎟ ∂x ⎝ ∂x ⎠ ∂ ⎛ ∂2 f ⎞ f xyy = ⎜ ∂y ⎝ ∂y∂x ⎟⎠ f yyyy f xxyy ∂ ⎛ ∂3 f ⎞ = ⎜ 3⎟ ∂y ⎝ ∂y ⎠ ∂ ⎛ ∂3 f ⎞ = ⎜ ∂y ⎝ ∂y∂x 2 ⎟⎠ 359 ตัวอยาง5 กําหนดให f ( x, y ) = sin(2 x − y 2 ) จงหา f xyx และ f yyx วิธีทํา f x = 2cos(2 x − y 2 ) f xy = 4 y sin(2 x − y 2 ) ดังนั้น f xyx = 8 y cos(2 x − y 2 ) f y = −2 y cos(2 x − y 2 ) f yy = −4 y 2 sin(2 x − y 2 ) − 2cos(2 x − y 2 ) ดังนั้น f yyx = −8 y 2 cos(2 x − y 2 ) − 4cos(2 x − y 2 ) ตัวอยาง6 กําหนดให f ( x, y ) = x 2 + ln( xy − x 4 ) จงหา f yxyx วิธีทํา 360 สําหรับฟงกชันสามตัวแปรหรือมากกวาก็สามารถหาอนุพันธยอ ย อันดับสูงไดเชนเดียวกัน ตัวอยาง7 กําหนดให f ( x, y, z ) = x 2 + y 2 + z 2 จงหา f yz , f zy , f xyz , f xyx วิธีทํา 361 ตัวอยาง8 กําหนดให f ( ρ ,θ ,φ ) = ρ 2 cos φ sin θ จงหา f ρθφ , f ρφθ และ f ρφθθ วิธีทํา f ρ = 2 ρ cos φ sin θ f ρθ = 2 ρ cos φ cosθ ดังนั้น f ρθφ = −2 ρ sin φ cosθ f ρφ = −2 ρ sin φ sin θ ดังนั้น f ρφθ = −2 ρ sin φ cosθ และ f ρφθθ = 2 ρ sin φ sin θ ตัวอยาง9 กําหนดให w( x, y, z ) = xyze x+ y + z จงหา wxy , wxyy ที่จุด (1,1,2) วิธีทํา wx = xyze x+ y + z + yze x+ y + z wxy = xyze x + y + z + xze x + y + z + yze x+ y + z + ze x+ y + z ดังนั้น wxy (1,1, 2) = 8e4 362 กฎลูกโซของอนุพันธยอย (Chain Rules for Partial Derivatives) ถา y = f ( x) และ t = g ( x) เปนฟงกชันที่หาอนุพันธได แลว จะได กฎลูกโซของฟงกชัน y ( g ( x)) คือ y dy dy dt = ⋅ dx dt dx t x dy dt dt dx สามารถขยายผลของกฎลูกโซสําหรับฟงกชันมากกวาหนึ่งตัวแปรได ถา x = x(t ) และ y = y (t ) เปนฟงกชันที่หาอนุพันธที่ t ได และ z = f ( x, y ) เปนฟงกชันที่หาอนุพันธยอยที่ ( x(t ), y (t )) ได z แลว dz ∂z dx ∂z dy = ⋅ + ⋅ dt ∂x dt ∂y dt x y t ถา u = u ( x, y ) และ v = v( x, y ) เปนฟงกชันที่หาอนุพันธ ยอยที่ ( x, y ) ได และ z = f (u, v) เปนฟงกชันที่หาอนุพนั ธยอยที่จุด (u ( x, y ), v( x, y )) ได แลว z ∂z ∂z ∂u ∂z ∂v = ⋅ + ⋅ ∂x ∂u ∂x ∂v ∂x ∂z ∂z ∂u ∂z ∂v = ⋅ + ⋅ ∂y ∂u ∂y ∂v ∂y u v x y 363 ตัวอยาง1 กําหนดให z ( x, y ) = x 2 y , x = t 2 , y = t 3 จงหาคา วิธีทํา dz dt z dz ∂z dx ∂z dy = ⋅ + ⋅ dt ∂x dt ∂y dt x y = (2 xy )(2t ) + ( x 2 )(3t 2 ) t = 4t 6 + 3t 6 = 7t 6 หรือ z = x 2 y = (t 2 )2 (t 3 ) = t 7 dz = 7t 6 dt ตัวอยาง2 กําหนดให f ( x, y ) = xy + ln( x 2 + y 2 ) , y = sin θ , x = cos θ จงใชกฎลูกโซหาคา วิธีทํา df dθ f x y θ 364 ตัวอยาง3 กําหนดให z = e xy , x = 2u + v , y = จงใชกฎลูกโซหาคา วิธีทํา ∂z ∂z และ ∂u ∂v u v z x y u v 365 เราสามารถสรางกฎลูกโซเพื่อหาอนุพันธยอยของฟงกชันประกอบ แบบตางๆได โดยใชการวาดแผนภูมิประกอบเชน df ∂f dx ∂f dy ∂f dz = ⋅ + ⋅ + ⋅ dt ∂x dt ∂y dt ∂z dt f x y z t f u v w x y z ∂f ∂f ∂u ∂f ∂v ∂f ∂w = ⋅ + ⋅ + ⋅ ∂x ∂u ∂x ∂v ∂x ∂w ∂x ∂f ∂f ∂u ∂f ∂v ∂f ∂w = ⋅ + ⋅ + ⋅ ∂y ∂u ∂y ∂v ∂y ∂w ∂y ∂f ∂f ∂u ∂f ∂v ∂f ∂w = ⋅ + ⋅ + ⋅ ∂z ∂u ∂z ∂v ∂z ∂w ∂z ตัวอยาง4 กําหนดให f (u, v) = ueu +v , u = ln x 2 y , v = 2 x จงหา วิธีทํา ∂f ∂f และ ∂x ∂y z u v x y 366 ตัวอยาง5 กําหนดให วิธีทํา z = x 2 ln( x 2 + y 2 ) , x = r cos(tθ ) , y = r sin(tθ ) ∂z ∂z ในเทอมของ x, y, r , t ,θ จงหา , ∂r ∂θ z y x ∂z ∂z ∂x ∂z ∂y = ⋅ + ⋅ ∂r ∂x ∂r ∂y ∂r r θ t ⎛ 2 x3 2 x 2 y sin(tθ ) 2 2 ⎞ =⎜ 2 + 2 x ln( x + y ) ⎟ (cos(tθ )) + 2 2 2 x y x y + + ⎝ ⎠ ∂z ∂z ∂x ∂z ∂y = ⋅ + ⋅ ∂θ ∂x ∂θ ∂y ∂θ ⎛ 2 x3 2 x2 y 2 2 ⎞ (rt cos(tθ )) =⎜ 2 + 2 x ln( x + y ) ⎟ (− rt sin(tθ )) + 2 2 2 x +y ⎝x +y ⎠ ตัวอยาง6 กําหนดให f ( x, y, z ) = x3 + y 3 + z 3 , z = x 2 + y 2 ∂f จงหา ∂x (2,0,1) วิธีทํา ∂f ∂f ∂f ∂z = + ⋅ = 3 x 2 + 6 xz 3 ∂x ∂x ∂z ∂x ∂f = 24 ∂x (2,0,1) f x y z x y 367 อนุพันธยอยของฟงกชันปริยาย (Implicit Differentiation) จากกฎลูกโซ เราสามารถหาสูตรของอนุพันธยอยของฟงกชัน ปริยายได จากสมการ F ( x, y ) = 0 โดย y เปนฟงกชันของ x dF ∂F ∂F dy = + ⋅ dx ∂x ∂y dx ∂F ∂F dy จะได + ⋅ =0 ∂x ∂y dx ∂F Fx dy ∂ x =− =− ∂F dx Fy ∂y ตัวอยาง1 กําหนดให y = f ( x) นิยามโดยสมการ dy 2 x ln y − y 2 sin x = 0 จงหา dx วิธีทํา จากสมการ 2 x ln y − y 2 sin x = 0 F x y x หาอนุพันธเทียบ x ตลอดสมการจะได 2 x dy dy + 2ln y − y 2 cos x + 2 y sin x = 0 y dx dx 2x dy ( + 2 y sin x) = y 2 cos x − 2ln y y dx dy y 2 cos x − 2ln y = dx ( 2 x + 2 y sin x) y 368 หรือ F dy =− x dx Fy 2ln y − y 2 cos x =− 2x − 2 y sin x y y 2 cos x − 2ln y = 2x − 2 y sin x y ให z = f ( x, y ) เปนฟงกชันปริยาย นิยามโดย F ( x, y, z ) = 0 โดยใชกฎลูกโซจะได ∂F F ∂z = − ∂x = − x ∂F ∂x Fz ∂z ∂F Fy ∂z ∂y =− =− ∂ F ∂y Fz ∂z 369 ตัวอยาง2 กําหนดให z = f ( x, y ) ที่นิยามโดยสมการ ∂z ∂z และ ∂x ∂y กําหนดให F ( x, y, z ) = 0 คือ 2 xz 2 + y sin z = 0 Fy Fx ∂z ∂z จาก = − และ = − Fz Fz ∂y ∂x 2 xz 2 + y sin z = 0 จงหา วิธีทํา Fx = 2 z 2 ดังนั้น , Fy = sin z , Fz = 4 xz + y cos z Fx ∂z 2z2 =− =− 4 xz + y cos z ∂x Fz Fy ∂z sin z =− =− Fz ∂y 4 xz + y cos z สําหรับฟงกชันปริยายที่มีตัวแปรอิสระมากกวา 2 ตัวแปร สามารถ พิจารณาหาอนุพันธยอยไดโดยใชกฎลูกโซไดในทํานองเดียวกัน ตัวอยาง3 กําหนดให w เปนฟงกชันของ x, y, z นิยามโดยสมการ x 2 y − xe w + 2 wz = 0 จงหา วิธีทํา ∂w ∂w ∂w , , ∂x ∂y ∂z 370 ในกรณีที่มีฟงกชันปริยายมากกวา 1 สมการ สามารถหาอนุพันธยอ ยได จากกฎลูกโซเชนเดียวกัน นิยาม จาโคเบียน (Jacobian) กําหนดให F ( x, y ) = 0 และ G ( x, y ) = 0 แลวจาโคเบียน ของฟงกชัน F , G เทียบกับ x และ y เขียนแทนดวย กําหนดโดย ∂( F , G) ∂ ( x, y ) 371 ∂F ∂ ( F , G ) ∂x = ∂ ( x, y ) ∂G ∂x ∂F Fx ∂y = ∂G Gx ∂y Fy Gy ทฤษฎีบท กําหนดให u และ v เปนฟงกชันของ x และ y F (u , v, x, y ) = 0 และ G (u , v, x, y ) = 0 จะได Fx ∂( F , G) G ∂u ∂ ( x, v ) =− =− x ∂( F , G) Fu ∂x ∂ (u , v) Gu Fu ∂( F , G) G ∂v ∂ (u , x) =− =− u ∂( F , G) Fu ∂x ∂ (u , v) Gu Fv Gv Fv Gv Fx Gx Fv Gv และ และ Fy ∂( F , G) Gy ∂u ∂ ( y, v) =− =− ∂( F , G) Fu ∂y ∂ (u , v) Gu Fu ∂( F , G) Gu ∂v ∂ (u , y ) =− =− F G ∂ ( , ) Fu ∂y ∂ (u , v) Gu Fv Gv Fv Gv Fy Gy Fv Gv ตัวอยาง4 กําหนดให u, v เปนฟงกชันของ x และ y โดยกําหนด สมการ u + 2uv = x 2 + xy และ v 2 − u = 2 x − y 2 ∂u ∂u ∂v ∂v , และ , ∂x ∂y ∂x ∂y วิธีทํา ให F ( x, y, u, v) = u + 2uv − x 2 − xy = 0 จงหา G ( x, y , u , v ) = v 2 − u − 2 x + y 2 = 0 Fx G ∂u =− x Fu ∂x Gu Fv (−2 x − y ) 2u Gv 2v −2 2v( −2 x − y ) + 4u 2 xv + yv − 2u = =− = Fv (1 + 2v) 2u 2v(1 + 2v) + 2u v + v2 + u Gv −1 2v 372 Fy Gy ∂u =− Fu ∂y Gu Fu Fv − x 2u Gv 2 y 2v −2 xv − 4 yu xv + 2 yu =− =− = (1 + 2v) 2u Fv 2v(1 + 2v) + 2u v + v 2 + u −1 Gv 2v (1 + 2v) (−2 x − y ) Gx −1 −2 −2(1 + 2v) + (−2 x − y ) 2 + 4v + 2 x + y = =− = (1 + 2v) 2u Fv 2v(1 + 2v) + 2u v + v2 + u Fx G ∂v =− u Fu ∂x Gu Gv Fu Gu ∂v =− Fu ∂y Gu −1 2v Fy (1 + 2v) Gy −1 =− (1 + 2v) Fv Gv −1 −x 2y 2 y (1 + 2v) − x x − 2 y − 4 yv =− = 2u 2v(1 + 2v) + 2u v + v2 + u 2v ตัวอยาง5 กําหนดให u, v เปนฟงกชันของ x และ y โดยกําหนด xv 2 + u = y 2 และ y 2 v − xu 2 = 1 − y 2 จงหา วิธีทํา ∂u ∂u ∂v ∂v , และ , ∂x ∂y ∂x ∂y 373 374 แบบฝกหัด 1. จงหาอนุพันธยอยอันดับสองทั้งหมดของฟงกชันตอไปนี้ x x+ y 1.2 f ( x, y ) = e− x sin y 1.1 f ( x, y ) = 1.3 f ( x, y ) = x cos y 2. กําหนดให f ( x, y ) = x3 y 5 − 2 x 2 y + x จงหา f xxy , f yxy และ f yyy 3. กําหนดให f ( x, y ) = y 3e−5 x จงหา f xyy , f xxx และ f yyxx 4. กําหนดให f ( x, y, z ) = x3 y 5 z 7 + xy 2 + y 3 z จงหา f xy , f yz , f zyx และ f xxyz dz dt 5.1 z = e1− xy , x = t1 3 , y = t 3 1 5.2 z = 3cos x − sin xy , x = , y = 3t t x − 2y 5.3 z = , x = 2t − 3 , y = t 2 + 1 เมื่อ t = −1 2x + 3y ∂z ∂z 6. จงใชกฎลูกโซหาคา , ∂x ∂y 6.1 z = 8u 2v − 2u + 3v , u = xy , v = x − y 5. จงใชกฎลูกโซหาคา 6.2 z = tan −1 (u 2 + v 2 ) , u = e x sin y , v = e x cos y 375 6.3 z = u 2 + v 2 + w2 , u = 3e x sin y , v = 3e x cos y , w = 4e x 7. กําหนดให f ( x, y, z ) = x 4 y + y 2 z 3 , x = uve w , y = uv 2e−t ∂f เมื่อ u = 2 , v = 1 และ w = 0 ∂v 8. กําหนดให z = f ( x, y ) , x = r cosθ , y = r sin θ z = u 2 v sin w จงหา 2 1 ⎛ ∂z ⎞ ⎛ ∂z ⎞ ⎛ ∂z ⎞ ⎛ ∂z ⎞ จงแสดงวา ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟ = ⎜ ⎟ + 2 ⎜ ⎟ ⎝ ∂x ⎠ ⎝ ∂y ⎠ ⎝ ∂r ⎠ r ⎝ ∂θ ⎠ 9. กําหนดให u, v เปนฟงกชันของ x และ y โดยกําหนด 2 2 xu 2 + v = y 3 และ 2 yu − xv3 = 4 x ∂u ∂v จงหา , ∂x ∂y 10. กําหนดให u, v เปนฟงกชันของ x และ y โดยกําหนด u 2 − v = 3 x + y และ u − 2v 2 = x − 2 y ∂u ∂v จงหา , ∂y ∂x 2 376 คําตอบแบบฝกหัด −2 y 2x = , f yy ( x + y )3 ( x + y )3 x− y f xy = = f yx ( x + y )3 1.2 f xx = e− x sin y , f yy = −e− x sin y 1.1 f xx = f xy = −e − x cos y = f yx − cos y 1.3 f xx = 3 2 , f yy = − x cos y 4x − sin y f xy = = f yx 2 x 2. f xxy = 30 xy 4 − 4 , f yxy = 60 x 2 y 3 , f yyy = 60 x3 y 2 3. f xyy (0,1) = −30, f xxx (0,1) = −125, f yyxx (0,1) = 150 4. f xy = 15 x 2 y 4 z 7 + 2 y , f yz = 35 x3 y 4 z 6 + 3 y 2 f zyx = 105 x 2 y 4 z 6 , f xxyz = 210 xy 4 z 6 dz 10 = − t 7 3e1−t dt 3 dz 5.2 = 3t −2 sin(1 t ) dt dz 21 5.3 = − dt 8 ∂z 6.1 = 24 x 2 y 2 − 16 xy 3 − 2 y + 3 ∂x ∂z = 16 x3 y − 24 x 2 y 2 − 2 x − 3 ∂y 5.1 10 3 377 ∂z 2e 2 x ∂z 6.2 = , =0 4x ∂x 1 + e ∂y ∂z ∂z 6.3 7. = 5et , =0 ∂x ∂y ∂u v3 − 3 xu 2 v 2 + 4 ∂v 2 xu 2 + 3 y 2 9. = , = 2 2 2 2 ∂x ∂y 3 x uv + y 6 x uv + 2 y ∂u 4v + 2 ∂v 3 − 2u 10. = , = ∂y 8uv − 1 ∂x 8uv − 1 192 378 การประยุกตอนุพันธของฟงกชันหลายตัวแปร ผลตางอนุพัทธรวม (Total Differential) นิยาม ผลตางอนุพัทธรวมของ f ( x, y ) คือ ผลรวมของผลตางอนุ พัทธยอยทั้งหมด df = f x dx + f y dy เมื่อ dx และ dy เปนสวนเปลี่ยนแปลงของตัวแปรอิสระ ในทางเรขาคณิต สามารถประมาณการเปลี่ยนแปลงของคา f (Δf ) เมื่อคา x เปลี่ยนไป Δx = dx และ คา y เปลี่ยนไป Δy = dy โดยที่ Δf = f ( x + Δx, y + Δy ) − f ( x, y ) Δf ≈ df เมื่อ Δx และ Δy มีคาเขาใกลศูนย ดังนั้น f ( x + Δx, y + Δy ) ≈ f ( x, y ) + df ตัวอยาง1 กําหนด f ( x, y ) = x 2 + y 2 จงหา df วิธีทํา df = f x dx + f y dy = x x +y 2 2 dx + y x +y 2 2 dy 379 ตัวอยาง2 กําหนด f ( x, y ) = sin y + x ln y จงหา df วิธีทํา ตัวอยาง3 กําหนด f ( x, y ) = x 2 + xy + y 2 จงหา df และ Δf เมื่อ x = 2, y = 3, Δx = 0.2 และ Δy = −0.1 วิธีทํา ตัวอยาง4 จงใชผลตางอนุพัทธรวมประมาณคา (2.01)2 + (3.99)2 วิธีทํา กําหนดให f ( x, y ) = x 2 + y 2 f ( x + Δx, y + Δy ) ≈ f ( x, y ) + df f ( x + Δx, y + Δy ) ≈ f ( x, y ) + f x dx + f y dy 380 x = 2, y = 4, dx = 0.01, dy = −0.01 x y f (2.01,3.99) = f (2, 4) + dx + dy 2 2 2 2 x +y x +y (2.01) 2 + (3.99) 2 = 22 + 42 + 2 2 +4 2 2 (0.01) + 4 2 +4 2 2 (−0.01) = 4.7376 1 3 ตัวอยาง5 ปริมาตรของกรวยกลม v = π r 2 h ถาสวนสูงลดลงจาก 9 ซม. เปน 8.89 ซม. ขณะที่รัศมีที่ฐานเพิ่มขึ้นจาก 3 ซม. เปน 3.15 ซม. จง ใหผลตางอนุพัทธรวมประมาณคาการเปลี่ยนแปลงของปริมาตร วิธีทํา 1 V = π r 2h 3 dV = Vr dr + Vh dh 2 1 2 = π rhdr + π r dh 3 3 2 1 = π (3)(9)(0.15) + π (3) 2 (−0.11) 3 3 = 2.33π ปริมาตรของกรวยกลมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.33π ลูกบาศก เซนติเมตร 381 ตัวอยาง6 ทรงกระบอกกลมใบหนึ่ง ถาในการวัดรัศมีมีความผิดพลาด ไมเกิน 0.2% การวัดความสูงมีความผิดพลาดไมเกิน 0.4% จงหาคา เปอรเซ็นตความผิดพลาดในการหาปริมาตรทรงกระบอกนี้ วิธีทํา V = π r 2 h dV = Vr dr + Vh dh = 2π rhdr + π r 2 dh ΔV dV ≈ V V dV 2π rhdr + π r 2 dh dr dh = = + 2 2 V r h πr h dV dr dh dr dh =2 + ≤2 + ≤ 2(0.02) + (0.04) = 0.08 V r h r h ดังนั้นความผิดพลาดที่มากที่สุดในการหาปริมาตรคือ 8% 382 1. การหาคาสูงสุดและคาต่ําสุดของฟงกชันหลายๆตัวแปร ทฤษฎีบท ให R เปนอาณาบริเวณภายในระนาบ xy โดยมีเสนรอบรูป ของ R ถือวาเปนสวนหนึ่งของ R ดวย และถา f เปนฟงกชันสองตัว แปรซึ่งไดนิยามและตอเนื่องใน R ดังนั้นจะมีจุดอยางนอยหนึ่งจุดใน R ที่ทําให f มีคานอยที่สุด และจะมีจุดอยางนอยหนึ่งจุดใน R ที่ทํา ให f มีคามากที่สุด นิยาม สําหรับฟงกชัน f ( x, y ) ที่นิยามในอาณาบริเวณ R จะ กลาววามีคาสูงสุดสัมพัทธ (Relative Maximum) ที่จุด (a, b) ถา Δf = f (a + h, b + k ) − f (a, b) ≤ 0 สําหรับทุกคาของ h, k ใน บริเวณทีใ่ กลเคียง (a, b) และจะกลาววามีคาต่ําสุดสัมพัทธ (Relative Minimum) ที่จุด (a, b) ถา Δf = f (a + h, b + k ) − f (a, b) ≥ 0 สําหรับทุกคาของ h, k ในบริเวณที่ใกลเคียงของ (a, b) นิยาม ถาฟงกชัน f ( x, y ) สามารถนิยามไดในอาณาบริเวณ R ซึ่ง มีจุด ( x0 , y0 ) เปนจุดอยูภายใน สมมุติวา f x ( x0 , y0 ) และ f y ( x0 , y0 ) สามารถนิยามไดใน R และ f ( x, y ) ≤ f ( x0 , y0 ) สําหรับทุกคาของ ( x, y ) ใน R นั่นคือ f ( x0 , y0 ) จะมีคาสูงสุด สัมบูรณ (Absolute Maximum) ดังนั้น f x ( x0 , y0 ) = f y ( x0 , y0 ) = 0 383 และจะมีคาต่ําสุดสัมบูรณ (Absolute Minimum) ก็ตอเมื่อ f ( x, y ) ≥ f ( x0 , y0 ) สําหรับทุกๆคา ( x, y ) ใน R จะไดวา f x ( x0 , y0 ) = f y ( x0 , y0 ) = 0 โดยที่ f x ( x0 , y0 ) = f y ( x0 , y0 ) = 0 หมายถึงระนาบสัมผัสพื้นผิว z = f ( x, y ) ที่จุด ( x0 , y0 ) จะตองขนานกับระนาบ xy ถา f มีคาสูงสุดสัมพัทธ หรือคาต่ําสุดสัมพัทธ ที่ (a, b) แลวจะกลาว วา f มีคาขีดสุดสัมพัทธ (Relative Extremum) ที่ (a, b) และถา f มีคาสูงสุดสัมบูรณ หรือคาต่ําสุดสัมบูรณ ที่ (a, b) แลวจะ กลาววา f มีคาขีดสุดสัมบูรณ (Absolute Extremum) ที่ (a, b) นิยาม จุด ( x0 , y0 ) ที่ทําให f x ( x0 , y0 ) = f y ( x0 , y0 ) = 0 เรียกวาจุดวิกฤต (Critical Point) ของ f ซึ่งเงื่อนไขที่ f x ( x0 , y0 ) = f y ( x0 , y0 ) = 0 ที่จุด ( x0 , y0 ) เปนเพียงเงื่อนไขที่ จําเปนในการหาคาสูงสุดสัมพัทธ (Relative Maximum) และต่ําสุด สัมพัทธ (Relative Maximum) ของ f ( x, y ) 384 ในกรณีที่ f x ( x0 , y0 ) = f y ( x0 , y0 ) = 0 ที่จุด ( x0 , y0 ) แตที่จุด ( x0 , y0 ) นี้ไมไดใหคาฟงกชัน f ( x, y ) สูงสุด หรือใหคาต่ําสุด จะ เรียกจุดนี้วาจุดอานมา (Saddle Point) ตัวอยางที่ 1 กําหนดให f ( x, y ) = x 2 + y 2 จงหาจุดวิกฤต วิธีทํา จาก f ( x, y ) = x 2 + y 2 f x ( x, y ) = 2 x และ f y ( x, y ) = 2 y จะได ซึ่ง f x ( x0 , y0 ) = f y ( x0 , y0 ) = 0 ดังนั้นจะได f x ( x, y ) = 2 x = 0 นั่นก็คือ x = 0 และ f y ( x, y ) = 2 y = 0 นั่นก็คือ y = 0 ดังนั้นจุดวิกฤตคือ (0,0) ซึ่งเปนจุดอานมา ทฤษฎีบท (Extreme-Value Theorem) ถา f ( x, y ) เปนฟงกชันตอเนื่องบนอาณาบริเวณปด R แลว f จะมี ทั้งคาสูงสุดสัมบูรณ และคาต่ําสุดสัมบูรณ 385 ตัวอยางที่ 2 จากรูปที่กําหนดให เปนกราฟของฟงกชัน f ที่มี โดเมนเปนอาณาบริเวณปด R รูปสีเ่ หลี่ยมจัตุรัสบนระนาบ xy ที่ กําหนดโดย R = {( x, y ) | 0 ≤ x ≤ 1, 0 ≤ y ≤ 1} 386 เนื่องจาก f ( x, y ) เปนฟงกชันตอเนื่อง จึงไดวา f จะมีทั้งคาสูงสุด สัมบูรณ และคาต่ําสุดสัมบูรณ คือที่จดุ D และ A ตามลําดับ การทดสอบจุดวิกฤตดวยอนุพันธอันดับสอง (Second Derivative Test) ถา f ( x, y ) มีอนุพันธตอเนื่องถึงอันดับที่สองในอาณาบริเวณใกลๆจุด (a, b) และถา f x (a, b) = f y (a, b) = 0 จุด (a, b) จะเปนจุดวิกฤต ดังนั้นจะไดวา 1. f ( x, y ) มีคาสูงสุดสัมพัทธ และ (a, b) เปนจุดที่ใหคาสูงสุดสัมพัทธ ถา f xx (a, b) f yy (a, b) − f xy2 (a, b) > 0 และ f xx (a, b) < 0 2. f ( x, y ) มีคาต่ําสุดสัมพัทธ และ (a, b) เปนจุดที่ใหคาต่ําสุดสัมพัทธ ถา f xx (a, b) f yy (a, b) − f xy2 (a, b) > 0 และ f xx (a, b) > 0 3. จุด (a, b) จะเปนจุดที่เกิดอานมา ถา f xx (a, b) f yy (a, b) − f xy2 (a, b) < 0 4. ไมสามารถสรุปไดวา f (a, b) มีคาต่ําสุดหรือคาสูงสุด ถา f xx (a, b) f yy (a, b) − f xy2 (a, b) = 0 เชน f ( x, y ) = x 4 + y 4 มีคาต่ําสุดที่จุด (0,0) เพราะวา f xx (a, b) f yy (a, b) − f xy2 (a, b) = 0 เมื่อ f x ( x, y ) = 4 x3 และ f y ( x, y ) = 4 y 3 387 และ f yy ( x, y ) = 12 y 2 และ f ( x, y ) = −( x 4 + y 4 ) มีคาสูงสุดที่จุด (0,0) เพราะวา f xx ( x, y ) = 12 x 2 f xx ( a, b) f yy (a, b) − f xy2 (a, b) = 0 เมื่อ f x ( x, y ) = −4 x3 และ f y ( x, y ) = −4 y 3 f xx ( x, y ) = −12 x 2 และ f yy ( x, y ) = −12 y 2 ตัวอยางที่ 3 จงหาจุดที่ใหคาสูงสุด ต่ําสุด และอานมา (ถามี) ของฟงกชัน f ( x, y ) = x3 + 3 xy 2 − 3 x 2 − 3 y 2 + 4 วิธีทํา 388 ตัวอยางที่ 4 จงหาคาสูงสุดและต่ําสุดของฟงกชัน f ( x, y ) = sin x + sin y + sin( x + y ) บนอาณาบริเวณปด 0 ≤ x ≤ 2π และ 0 ≤ y ≤ 2π วิธีทํา จะได จาก f ( x, y ) = sin x + sin y + sin( x + y ) f x ( x, y ) = cos x + cos( x + y ) f y ( x, y ) = cos y + cos( x + y ) f xx ( x, y ) = − sin x − sin( x + y ) f xy ( x, y ) = − sin( x + y ) และ f yy ( x, y ) = − sin y − sin( x + y ) หาจุดวิกฤต fx = f y = 0 จะได cos x + cos( x + y ) = 0 และ cos y + cos( x + y ) = 0 นั่นคือ cos x = cos y x = y หรือ x = y ± 2nπ โดยที่ n = 0,1, 2,...... เมื่อ x = y จาก cos x + cos( x + y ) = 0 จะได cos x = −1 และ cos x = 1 2 389 นั่นคือ x = π 3 และ x = π และ x = 5π 3 π π ดังนั้นจุดวิกฤตทั้งหมดภายในอาณาบริเวณ R คือ ( , ), (π , π ) และ ( 3 3 5π 5π , ) 3 3 ตอไปหาจุดที่อยูบนขอบของอาณาบริเวณ R ซึ่งอาจจะใหคาขีดสุด สัมบูรณได พิจารณาฟงกชัน f บนเสนตรงที่เชื่อมระหวางจุด (0,0) และ (0, 2π ) x = 0, 0 ≤ y ≤ 2π จะไดวา u ( y ) = f (0, y ) = sin 2 y ; 0 ≤ x ≤ 2π u '( y ) = 2cos y = 0 π 3π นั่นคือ y = , 2 2 π 3π จุดวิกฤตคือ (0, ) และ (0, ) 2 2 พิจารณาฟงกชัน f บนเสนตรงที่เชื่อมระหวางจุด (2π ,0) และ (2π , 2π ) : x = 2π , 0 ≤ y ≤ 2π π จะไดจุดวิกฤตคือ (2π , ) และ (2π , 2 3π ) 2 พิจารณาฟงกชัน f บนเสนตรงที่เชื่อมระหวางจุด (0,0) และ (2π ,0) : y = 0, 0 ≤ x ≤ 2π π จะไดจุดวิกฤตคือ ( ,0) และ ( 2 3π ,0) 2 390 พิจารณาฟงกชัน f บนเสนตรงที่เชื่อมระหวางจุด (0, 2π ) และ (2π , 2π ) : y = 2π , 0 ≤ x ≤ 2π π 3π , 2π ) 2 2 รวมจุดมุมทั้งหมดคือ (0,0),(0, 2π ),(2π ,0) และ (2π , 2π ) ดวย จะไดจุดวิกฤตคือ ( , 2π ) และ ( พิจารณาคาของ f ทั้งหมดของจุดวิกฤต และจุดที่ขอบของ R ดังนี้ ( x, y ) f ( x, y ) ( x, y ) π π ( , ) 3 3 3 3 2 3π (0, ) 2 (2π , ) 2 5π 5π ( , ) 3 3 3 3 − 2 3π (2π , ) 2 −2 2 −2 2 (0,0) 0 f ( x, y ) (π , π ) 0 π ( x, y ) ( 3π ,0) 2 ( , 2π ) 2 π ( 3π , 2π ) 2 f ( x, y ) ( x, y ) −2 (0, 2π ) 2 (2π ,0) −2 (2π , 2π ) f ( x, y ) 0 0 0 จากตารางสรุปไดวา คาสูงสุดสัมบูรณของ f คือ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f คือ π π 3 3 f( , )= 3 3 2 5π 5π 3 3 f( , )=− 3 3 2 π (0, ) 2 2 π ( ,0) 2 391 ตัวอยางที่ 5 จงทดสอบวาฟงกชัน สูงสุดที่จุดใด วิธีทํา x2 y 2 − 2 = 2cz 2 a b มีคาต่ําสุดและ 392 ตัวอยางที่ 6 จงหาความหนา ความกวางและความยาวของกลองรูป สี่เหลี่ยมผืนผา เปดดานบน ที่จะทําใหกลองมีปริมาตรมากที่สุด ถาพื้นที่ ผิวเปน 12 ตารางหนวย วิธีทํา 393 1. แบบฝกหัดที่ 1 จงหาจุดที่ใหคาสูงสุดสัมพัทธ ต่ําสุดสัมพัทธ หรือจุดทีเ่ กิดอานมา ของฟงกชันที่กําหนดให 1.1 f ( x, y ) = 3x 2 + 2 xy + y 2 1.2 f ( x, y ) = y 2 + xy + 3 y + 2 x + 3 1.3 f ( x, y ) = x 2 + xy + y 2 − 3x 1.4 f ( x, y ) = e− ( x + y + 2 x ) 1.5 f ( x, y ) = x 2 y − 2 xy + 2 y 2 − 15 y จงหาเลขจํานวนบวกสามจํานวน ซึ่งมีผลคูณเทากับ 64 และมี ผลบวกนอยที่สุด และคํานวณหาผลบวกที่นอยที่สุดนั้นดวย จงหาจุดในปริภูมิซงึ่ มีผลบวกของพิกัดเทากับ 48 และมีระยะทางหาง จากจุดกําเนิดสั้นที่สุด ในการสรางรานคาทรงสี่เหลี่ยมดานขนาน มีความจุเทากับ 1536 ลูกบาศกเมตร คาตกแตงของผนังดานหนาจะมีราคาเปนสองเทาของ ราคาผนังดานขาง ผนังดานหลัง และพื้นรวมกัน สวนคาตกแตงของ 2 2. 3. 4. 2 394 3 2 หลังคาจะเสียคาใชจายเปน เทาของผนังดานขาง จงหาขนาดของ รานคาที่จะเสียคาใชจายในการตกแตงนอยที่สุด 5. จงหาระยะทางที่สั้นที่สุดจากจุด (2, −2,3) ไปยังระนาบ x+ y−z =2 6. กลองกระดาษไมมีฝาปดทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากมีความจุ 32000 ลูกบาศกเซนติเมตร จงหาขนาดของกลองที่ใชกระดาษนอยที่สุด คําตอบแบบฝกหัดที่ 1 1. 1.1 จุดที่ใหคาต่ําสุดสัมพัทธ (0,0) 1.2 จุดที่เกิดอานมา (1, −2) 1.3 จุดที่ใหคาต่ําสุดสัมพัทธ (2, −1) 1.4 จุดที่ใหคาสูงสุด (−1,0) 1.5 จุดที่ใหคาต่ําสุดสัมพัทธ (1, 4) จุดอานมา (−3,0) และ (5,0) 2. 4, 4, 4 และ 12 3. (16,16,16) 4. ดานหนา 24 เมตร ดานขาง 8 เมตร สูง 8 เมตร 11 1 4 5. ⎛⎜ , − , ⎞⎟ ⎝3 3 3⎠ 6. กวาง = ยาว = 40 เซนติเมตร สูง 20 เซนติเมตร 395 2. ตัวคูณลากรางจ (Langrange Multipliers) จากตัวอยางที่ 6 จะเห็นวา ปญหาก็คือจะตองการหาขนาดของกลอง นั่นก็คือจะตองแกสมการ V = xyz ภายใตเงื่อนไขของพื้นที่ผิว xy + 2 xz + 2 yz = 12 เงื่อนไขนี้เรียกวา Side Condition และปญหา การหาคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดของฟงกชันภายใตเงื่อนไขที่กําหนดให (Problem in Constrained Maxima and Minima) หมายความวาการหา คาต่ําสุดหรือคาสูงสุดของฟงกชันนั้นจะตองเปนไปตามเงื่อนไขที่ กําหนดมาใหดวย การแกปญหาโจทย อาจแกโดยวิธีตางๆที่ไดผานมาแลว หรือใชวิธีของ ลากรางจ (Lagrange) ซึ่งเปนวิธีการแกปญหาเกี่ยวกับการหาคาสูงสุด และต่ําสุดของฟงกชันหลายตัวแปร f ( x, y, z ) เมื่อกําหนดเงื่อนไข (Side Condition) หรือขอจํากัด (Constraint) ϕ ( x, y, z ) = 0 มาให 396 Method of Lagrange Multipliers การหาคาขีดสุดของฟงกชัน f ( x1 , x2 ,..., xn ) ภายใตเงื่อนไข ϕ1 ( x1 , x2 ,..., xn ) = 0 ϕ 2 ( x1 , x2 ,..., xn ) = 0 # ϕ m ( x1 , x2 ,..., xn ) = 0 1. สรางสมการใหมเรียกวาฟงกชันลากรางจ (Lagrange Function) ดังนี้ F ( x1 , x2 ,..., xn , λ1 , λ2 ,..., λm ) = f ( x1 , x2 ,..., xn ) + λ1ϕ1 ( x1 , x2 ,..., xn ) + λ2ϕ 2 ( x1 , x2 ,..., xn ) + ... + λmϕ m ( x1 , x2 ,..., xn ) เมื่อ λi ; i = 1, 2,..., m (m < n) เรียกวาตัวคูณลากรางจ (Lagrange Multipliers) ซึ่งเปนคาคงที่ 397 2. หาจุดวิกฤตของ F โดยที่พิจารณาวา F เปนฟงกชันของ n + m ตัว แปรคือ x1 , x2 ,..., xn , λ1 , λ2 ,..., λm ซึ่งหาคาไดจากสมการ ∂F = 0, ∂x1 ∂F = 0, ∂λ1 ตัวอยางที่ 7 ∂F ∂F = 0 , …, =0 ∂x2 ∂xn ∂F ∂F = 0 , …, =0 ∂λ2 ∂λm ใหหาคาต่ําสุดของฟงกชัน f ( x, y ) = x 2 + 2 y 2 + 2 xy + 2 x + 3 y ภายใตเงื่อนไข x 2 − y = 1 วิธีทํา กําหนดให ϕ ( x, y ) = x 2 − y − 1 = 0 F ( x, y, λ ) = f ( x, y ) + λϕ ( x, y ) ดังนั้นจะได F ( x, y, λ ) = x 2 + 2 y 2 + 2 xy + 2 x + 3 y + λ ( x 2 − y − 1) และ Fx = 2 x + 2 y + 2 + 2 xλ = 0 (1) Fy = 4 y + 2 x + 3 − λ = 0 Fλ = x 2 − y − 1 = 0 (2) (3) จาก Fλ = x 2 − y − 1 = 0 จะได y = x 2 − 1 แทนลงในสมการ (1) และสมการ (2) จะได 2 x + 2 x 2 − 2 + 2 + 2 xλ = 0 นั่นคือ x = 0 หรือ x = −(1 + λ ) 398 และ 4 y + 2 x + 3 − λ = 0 แทนดวย y = x 2 − 1 จะได 4 x2 − 4 + 2 x + 3 − λ = 0 (4) ถา x = 0 แทนในสมการ (4) จะได λ = −1 ถา x = −(1 + λ ) แทนในสมการ (4) จะได λ = −1 และ λ = − กรณีที่ λ = −1 จะได x = 0 1 4 จะได x = − และ y = −1 1 4 3 7 และ y = − 4 16 3 7 จุดวิกฤตคือ (0, −1) และ ⎛⎜ − , − ⎞⎟ ⎝ 4 16 ⎠ แทนคาในสมการ f ( x, y ) = x 2 + 2 y 2 + 2 xy + 2 x + 3 y กรณีที่ λ = − f (0, −1) = −1 3 7 229 f (− , − ) = 4 16 128 ดังนั้นจุด (0, −1) ใหคาต่ําสุดเทากับ −1 ตัวอยางที่ 8 จงหาจุดบนผิวของทรงกลม x 2 + y 2 + z 2 = 1 ซึ่งอยู หางจากจุด (1, 2,3) มากที่สุด วิธีทํา 399 ตัวอยางที่ 9 จงหาระยะทางที่มากที่สุดและนอยที่สุดจากจุดกําเนิด ไปยังโคง 5 x 2 + 5 y 2 + 6 xy − 8 = 0 วิธีทํา 400 ตัวอยางที่ 10 จงหาขนาดของกลองที่ไมมีฝาปดโดยมีพื้นที่ผิวมาก ที่สุดเปน 108 ตารางนิ้ว วิธีทํา 401 ตัวอยางที่ 11 จงหาปริมาตรที่มากที่สุดของกลองทรงสี่เหลี่ยมตัน ซึง่ 2 2 y z สามารถบรรจุในพื้นผิว x 2 + + = 1 ได 9 4 วิธีทํา ปริมาตรหนึ่งในแปดสวนคือ f ( x, y, z ) = xyz โดยที่ x > 0, y > 0, z > 0 y2 z2 ภายใตเงื่อนไข ϕ ( x, y, z ) = x + + − 1 = 0 9 4 2 ดังนั้นจะเขียนไดเปน 2 2 y z F ( x, y, z , λ ) = xyz + λ ( x 2 + + 9 4 Fx ( x, y, z , λ ) = yz + λ 2 x = 0 2 yλ Fy ( x, y, z , λ ) = xz + =0 9 2 zλ Fz ( x, y, z , λ ) = xy + =0 4 y2 z2 2 Fλ ( x, y, z , λ ) = x + + −1 = 0 9 4 − 1) (1) (2) (3) (4) 402 4 9 1 สมการ (2) คูณสมการ (3) จะได x 2 = λ 2 9 สมการ (1) คูณสมการ (3) จะได y 2 = λ 2 สมการ (1) คูณสมการ (2) จะได z 2 = λ 2 แทนลงในสมการ (4) จะไดวา x2 = 1 3 λ 2 = 3 แลวแทนลงในสมการจะได และ y 2 = 3 และ z 2 = 4 3 1 2 , 3, ) แทนลงใน f ( x, y, z ) 3 3 2 จะได f ( x, y , z ) = 3 16 ดังนั้นปริมาตรมากที่สุดคือ 3 จุดวิฤตคือ ( แบบฝกหัดที่ 2 1. จงใชตัวคูณของลากรางจ หาจุดที่ใหคาสูงสุด ต่ําสุด หรืออานมา ของฟงกชัน และเงื่อนไขทีก่ ําหนดให 1.1 f ( x, y ) = xy ; 4x 2 + 8 y 2 = 16 1.2 f ( x, y ) = 4 x3 + y 2 ; 2x 2 + y 2 = 1 1.3 f ( x, y, z ) = 2 x + y − 2 z ; x 2 + y 2 + z 2 = 4 2. อุณหภูมิ ณ จุด ( x, y ) บนแผนโลหะคือ T ( x, y ) = 4 x 2 − 4 xy + y 2 มีมดเดินบนแผนโลหะนี้เปนวงกลม 403 รัศมี 5 ฟุต จุดศูนยกลางอยูที่จุดกําเนิด จงหาอุณหภูมิสูงสุด และ อุณหภูมติ ่ําสุดรอบตัวมด 3. พลังงาน E ( x, y, z ) ของวัตถุที่มีมวล m ในกลองสี่เหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งมีขนาด x, y และ z กําหนดโดย h2 ⎛ 1 1 1⎞ E ( x, y , z ) = + + เมื่อ h คือคาคงตัว ถาให ⎜ 2 2 2 ⎟ 8m ⎝ x y z ⎠ ปริมาตร V ของกลองคงที่ จงหาคาของ x, y และ z ที่ทําให E มี คานอยที่สุด 4. กลองทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากฝาเปดมีปริมาตร 1728 ลูกบาศกนิ้ว จงหา ขนาดของกลองที่จะเสียคาใชจายนอยที่สุด ถา 4.1 วัสดุที่ใชทํากนกลองมีราคาเปน 16 เทาของวัสดุที่ใชทําผนัง กลองเมื่อเทียบเปนตารางหนวย 4.2 วัสดุที่ใชทํากนกลองมีราคาเปน 2 เทาของวัสดุที่ใชทําผนัง ดานขางของกลองเมื่อเทียบเปนตารางหนวย 404 คําตอบแบบฝกหัดที่ 2 1. 1.1 จุดที่ใหคาสูงสุด ( 2,1), (− 2, −1) และจุดที่ใหคาต่ําสุด (− 2,1), ( 2, −1) 1.2 จุดที่ใหคาสูงสุด ⎛⎜ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ ,0 ⎟ และต่ําสุด ⎜ − ,0 ⎟ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎝ 4 2 4 4 2 4 1.3 จุดที่ใหคาสูงสุด ⎛⎜ , , − ⎞⎟ และต่ําสุด ⎛⎜ − , − , ⎞⎟ ⎝3 3 3⎠ ⎝ 3 3 3⎠ 2. จุดที่ใหคาสูงสุด คือ (−2,1) และ (2, −1) คาสูงสุด 25 จุดที่ใหคาต่ําสุด คือ (1, 2) และ (−1, −2) คาต่ําสุด 0 1 3 3. x = y = z = v 4. 4.1 6 × 6 × 48 ตารางนิ้ว 4.2 12 × 12 × 12 ตารางนิว้