อธิบายพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวคิด ปัญญานิยม ธรรมชาติของมนุษย์(ผู้นำ)

advertisement
อธิบายพฤติกรรมมนุษย์ ตามแนวคิด
ปัญญานิยม
ธรรมชาติของมนุษย์ (ผ้ นู า)ในทัศนะของนักจิตวิทยา
“ มนุษย์ จะดีหรือเลวขึน้ อยู่กบั การปรับตัวใน
สภาพแวดล้ อม มนุษย์ เป็ นผู้มสี ติปัญญา ”
Atkinson
ข้อมูลที่ชี้ว่ามี STM แยกจาก LTM
1. ข้อมูลที่ได้จากผลการศึกษาด้านการผ่าตัด
มิลเนอร์ (Milner, 1967, 1970)
ข้อมูลประเภทนี้ ได้จากรายงานที่ว่า H.M. จาสิ่งใหม่ ๆ ได้ไม่นานจะลืมหายไป
นัน้ ก็ทาให้สนั นิษฐานว่าสิ่งที่เข้าไปใหม่นัน้ ไม่ได้ผา่ นไปสู่ LTM ทัง้ นี้ กเ็ พราะฮิปโปแคมบัส
ได้รบั อันตราย สิ่งที่จะจาจึงน่ าจะผ่านความจาระยะสัน้ STM ก่อนแล้วจึงถึง LTM โดยผลที่
ได้มาจากผลของการผ่าตัดสมอง
2. ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง
ข้อมูลที่ได้จากการทดลองเป็ นข้อมูลที่เกี่ยวกับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว โดย
การทดลองที่สนับสนุนว่ามีความจาอยู่สองระบบก็คือการทดลองเกี่ยวกับการเสนอสิ่งเร้า
ให้จาเป็ นชุด ๆ แล้วให้ระลึกอย่างเสรี นาผลการระลึกไปจุดกราฟตามตาแหน่ งของสิ่งเร้า
ที่ให้จา ซึ่งเรียกกราฟอันนัน้ ว่า โค้งลาดับที่
1 เท่า 3 วินาที
2 เท่า 6 วินาที
3 เท่า 9 วินาที
อัตราส่วนของคาที่ระลึกได้
100
(1)
75
(3)
(2)
50
25
1
5
10
ตาแหน่ งของคาที่เสนอ
15
20
1. ความจาเป็ นโครงสร้ าง ( Structure of Memory )
2. ความจาเป็ นกระบวนการต่ อเนื่อง
( Level of Processing )
SM: Sensory Memory
: ความจาการรู้ สึกสัมผัส
- จานาน 1 วินาที
- ความจุ 4 หน่ วย
- ประเภทของความจา
Iconic
Echoic
Enactive
STM : Short Term Memory
- ชนิดของการเข้ ารหัส
- ภาพ
- เสียง
- ความหมาย
- ความจุ 7 2 หน่ วย
- จานาน
30 วินาที
LTM : Long Term Memory
- ความจุ
- เวลา
- ไม่ จากัด
- ไม่ จากัด
(Craik&Lockhart 1972)
- ความจาเป็ นระดับ ลึก , ตืน้
- ถ้ ามีการทบทวนอย่ างละเอียดและลึกลงไปจะจาได้
ตัวอย่ าง
Collins & Quillian 1969
ให้ อ่านประโยค 3 ประโยค แล้ วตอบว่ า จริง , ไม่ จริง
1. นกขมิน้ เป็ นนกขมิน้
2. นกขมิน้ เป็ นนก
3. นกขมิน้ เป็ นสัตว์
1400
นกขมิน้ เป็ นสัตว์
1300
นกขมิน้ คือนก
1200
1100
นกขมิน้ คือนกขมิน้
1000
900
0
1
ระดับประโยคที่เป็ นจริง
2
Dual – Coding Theory : ทฤษฎีรหัสคู่
ดอกไม้
หนู
LTM เข้ ารหัสเป็ นภาพ
เข้ ารหัสโดยใช้ ภาษาธรรมชาติเป็ นตัวกลาง
NLM : Natural Language Mediator
ตัวอย่ าง คาไร้ ความหมาย
CVC : พยัญชนะ – สระ - พยัญชนะ
LOV – LOVE
WOD – WOOD
PYM – PAYMENT
JYZ – JAZZ
: ความจาที่เกิดขึน้ เมื่อเห็นสิ่งเร้ านัน้ อีกครั ง้ หนึ่ง
การตอบ
สนอง
เคยเห็น
ไม่เคยเห็น
สิ่ งเร้านั้นเคย สิ่ งเร้านั้นไม่เคย
ประสบมาก่อน ประสบมาก่อน
Recognition False Recognition
Miss
Correct Rejection
A
B
ร้ อยละของการประหยัด = 100 x
A
A : จานวนรอบที่เรี ยนครั ง้ แรกและจาได้ ทงั ้ หมด
B : จานวนรอบที่เรี ยนครั ง้ หลังและจาได้ ทงั ้ หมด
Edward C. Tolman (1886-1959)
Bloom
Cognitive: the most-used of the domains, refers to
knowledge structures (although sheer “knowing
the facts” is its bottom level). It can be viewed as
a sequence of progressive contextualisation of the
material. (Based on Bloom,1956)
Affective: the Affective domain has received less
attention, and is less intuitive than the Cognitive. It
is concerned with values, or more precisely perhaps
with perception of value issues, and ranges from
mere awareness (Receiving), through to being able
to distinguish implicit values through analysis.
(Kratwohl, Bloom and Masia (1964))
Psycho-Motor: Bloom never completed work on
this domain, and there have been several attempts
to complete it. One of the simplest versions has
been suggested by Dave (1975): it fits with the
model of developing skill put forward by Reynolds
(1965), and it also draws attention to the
fundamental role of imitation in skill acquisition.
JEAN PIAGET
แนวคิดของ JEAN PIAGET
Piaget นักจิตวิทยาผู้นาของกลุ่มนีไ้ ด้อธิบายถึงเรื่อง
ของพัฒนาการทางสติปัญญาอันเป็ นรากฐานของการแสดง
พฤติกรรมของมนุษย์ ว่า ประสบการณ์ ในการมีปฏิสัมพันธ์ กบั
สิ่ งแวดล้ อม ทาให้ เกิดพัฒนาการทางสติปัญญาขึน้ การพัฒนาด้ าน
สติปัญญา และความคิดจะเริ่มจากการมีปฏิสัมพันธ์ อย่ างต่ อเนื่อง
ระหว่ างบุคคลและสิ่ งแวดล้ อม แต่ บุคคลมีพนั ธุกรรมและสิ่ งแวดล้ อม
แตกต่ างกัน ฉะนั้นพัฒนาการทางสติปัญญาจึงแตกต่ าง
Jerome Bruner
แนวความคิดของ Jerome Bruner
Bruner (พรรณี ช. เจนจิต , 2528 :
117 -118 ) มีความเห็นว่ า คนทุกคนจะมีพฒ
ั นาการ
ทางความรู้ ความเข้ าใจในการเรียนรู้ และปรับโครงสร้ างทาง
สติปัญญานั้น ก็โดยผ่ านกระบวนการทีเ่ รียกว่ า การกระทา
(Acting) การสร้ างภาพในใจ (Imagine) และการใช้ สัญลักษณ์
( Symbolizing ) ซึ่งเป็ นกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวติ
“เมื่อไรก็ตามที่ภาษาซึ่ งเป็ นถ้อยคาได้กลายเป็ นสื่ อกลาง
สาหรับถ่ายทอดประสบการณ์ให้เด็กเข้าใจแล้ว เมื่อนั้นเด็กแต่
ละคนจะไม่ตกเป็ นทาสของภาพที่เห็นในขณะนั้นอีกต่อไป”
(Bruner, 1964 : 14)
Cognitive Development
Representation
Integration
Symbolic Representation : Formal Operation
Iconic Representation : Concrete Operation
Inactive Representation : Sensory Motor
LAWRENCE KOHLBERG
1927-1987
แนวความคิดของ Lawrence Kohlberg
ลอเรนซ์ โคลเบอร์ ก (Lawrence Kohlberg) ซึ่ง
เชื่อว่ า มนุษย์ เป็ นผลิตผลของการปรับตนในสภาพแวดล้ อม
Gestalt Psychology
Principle of Perception
หลักการรับรู้
1. กฎความใกล้ ชิด (Principle of Proximity)
กฎนีก้ ล่ าวว่ า “ สิ่ งเร้ าใด ๆ ทีอ่ ยู่ใกล้ กนั เรามักจะ
รับรู้ ว่าเป็ นพวกเดียวกัน ”
หลักการรับรู้
2. กฎความคล้ ายกัน (Principle of Similarity)
กฎนีม้ ใี จความว่ า “สิ่ งเร้ าใด ๆ ก็ตามทีม่ ีลกั ษณะ
รู ปร่ าง ขนาด หรือสี คล้ ายๆ กัน เรามักจะรับรู้ ว่าเป็ นพวก
เดียวกัน”
หลักการรับรู้
3. กฎความต่ อเนื่อง (Principle of Continuity)
บางครั้งเราก็เรียกกฎนีว้ ่ ากฎทิศทาง (Principle of
Direction) ใจความสาคัญของกฎนีก้ ค็ อื “บุคคลมี
แนวโน้ มทีจ่ ะรับรู้ สิ่งต่ างๆ ในลักษณะทีม่ คี วามต่ อเนื่อง
หรือมือทิศทางไปในทางเดียวกัน”
หลักการรับรู้
4. กฎความง่ าย (Principle of Simplicity)
ในการรับรู้ เรามักจะรับรู้ ภาพต่ างๆ ในลักษณะที่
เป็ นรู ปทรงง่ ายๆ (Simplicity) มากกว่ าจะรับรู้ ในลักษณะ
ทีเ่ ป็ นรู ปทรงซับซ้ อน
หลักการรับรู้
5. กฎการปิ ด (Principle of Closure)
บางครั้งเราก็เรียกกฎนีว้ ่ ากฎความสั มบูรณ์ เพราะ
เรามักจะมองภาพทีข่ าดความสมบูรณ์ ให้ เป็ นภาพที่
สมบูรณ์ หรือมองเส้ นทีข่ าดตอนให้ ตดิ หรือต่ อกันเป็ น
รู ปร่ างขึน้ มาได้
Wolfgang Kohler
Chica on the jumping stick
Grande on an insecure construction
Sulton making a double-stick
Konsul, Grande, Sultona and Chica building
Grande achieves a four-story structure
Kurt Koffka (1886-1941)
MAX WERTHEIMER (1880-
Attribution Theory
By
Weiner (1980)
พฤติกรรมนิยม
ปัญญานิยม
Cognitive - Behaviorism
Download